วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิชาชีพสถาปนิก ในทรรศนะคติของข้าพเจ้า และฝึกงานมาแล้ว ได้อะไร??

การสอบโอเน็ทและเอเน็ทปีแรกของประเทศไทยได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นคนหนึ่งว่า “เลือกคณะอะไรดีวะ?”

ทั้งที่เคยพยายามทำทั้งแบบทดสอบ “คณะที่เหมาะสมกับคุณ” และคำตอบของแบบทดสอบทางอินเตอร์เน็ทอันนั้นให้คำตอบผมว่า “คณะเกษตรศาสตร์” เฮิ้ย!? ให้กูไปขุดดินเนี่ยนะไม่เอาหรอกเหนื่อยจะตาย ในที่สุดก็เลยได้แต่นั่งคิดกับตัวเองว่าไม่ชอบอะไร คำตอบแรกคือ “ตัวเลข” ให้ตายก็ไม่ยอมทำงานกับตัวเลขเด็ดขาด แล้วสิ่งที่ชอบก็คือ “อยู่เฉยๆ” แต่ไม่มีคณะนั่งเฉยๆให้สมัครเข้าไปเรียนคงเพราะรัฐบาลคิดว่าถ้ามึงจะทำแบบนั้นมึงอยู่บ้านจะดีกว่า คำตอบที่รองลงมาก็คือ “วาดรูปเล่น” ขอย้ำว่าวาดรูปเล่นไม่ใช่วาดรูปจริงจัง แต่อย่ากระนั้นเลยการชอบวาดรูปเล่นก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรชอบ และในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเป็นคนชอบ “เล่นเกม” และ The Sims ก็เป็นหนึ่งในเกมที่ชอบที่สุดซะด้วย จำได้ว่าเล่นสร้างบ้านจนดึกจนดื่นทุกวันแม่เรียกกินข้าวก็ไม่ยอมกินขอสร้างบ้านก่อน เลยตัดสินใจลองสอบวิชาความถนัดทางสถาปัตยกรรมดู

ในเมื่อคะแนนที่คำนวนดูคร่าวๆแล้วไม่มีทางติดคณะแพทย์ศาสตร์มหิดลแน่ๆ อันที่จริงแล้วถ้าเอาแต่คะแนนโอเน็ทจะติดสักคณะหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็เลยตัดสินใจเลือกคณะที่มันดูกลางๆระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปศาสตร์ ประกอบกับคะแนนของวิชาความถนัดทางสถาปัตยกรรมได้ 58 คะแนนซึ่งมั่นใจไปเองว่าเยอะทีเดียว เลยตัดสินใจเลือกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ทั้งสี่อันดับ

ในเว็ปไซท์ที่ให้ทดลองโอกาสติดคณะต่างๆมากน้อยแค่ไหน ผมก็ลองกรอกคะแนนลงไป และใส่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทั้งจุฬาฯ ศิลปากร ลาดกระบัง และเกษตร ลงไป ผลที่แสดงต่อหน้าได้ช่วยสร้างกำลังใจให้ผมเป็นอย่างมาก
“คุณไม่มีโอกาสติดคณะนี้เลย”
…ขอบคุณนะ

แต่ความดันทุรังของผมที่คิดว่าคนอื่นที่เข้ามาเปิดเว็ปนี้คงท้อใจและไปเลือกคณะอื่นแน่ๆจึงทำให้ผมยังยืนยันจะเลือกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ทั้งสี่อันดับต่อไป

จนในที่สุดผมก็ได้เข้ามาเรียนที่นี่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

เมื่อเข้ามาแล้วผมก็คิดแค่ว่า เรียนจบก็พอแล้ว พ่อแม่ไม่หวังเกียรตินิยมกับลูกชายที่สอบได้เกรดไม่เคยถึงสามหรอก แต่เมื่องานแต่ละชิ้นที่อาจารย์ส่งกลับคืนมามีรอยปากกาสีแดงเขียนอักษรตัวแรกของภาษาอังกฤษลงไป ก็ทำให้ผมนั่งยิ้มนอนยิ้มอยู่ทั้งวันและยิ่งทำให้ผมตั้งใจทำงานชิ้นต่อไปให้เนียบขึ้นอีก จนผมรู้สึกสนุกกับการเรียนที่คณะนี้ จนเกรดของเทอมแรกออกมา วิชาในภาคของผมได้เกรด A ทั้ง 5 ตัว แต่… วิชาเลข และภาษาอังกฤษผมได้ C+ และวิชาฟิสิกส์ D+ คืนนั้นผมนั่งหัวเราะไปร้องไห้ไป ไม่รู้จะทำอารมณ์ไหนดี วิชาที่เรียนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์โมนิค ความร้อน ความดัน ทำให้ผมชวดเกียรตินิยมตั้งแต่ผมปี 1 เทอม 1 และวิชาที่ผมได้ A เกือบทั้งหมดหน่วยกิจน้อยกว่าวิชานอกภาค

ครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจแปลกๆเหมือนกันว่า ไม่ต้องสนใจเกียรตินิยม(แม่ง) แล้วเรียนตามสบายดีกว่า ซึ่งนั้นทำให้จนบัดนี้ผมยังไม่ได้เกรดต่ำกว่า C อีกเลย (ว่าแต่มันดีไหมเนี่ย)

เมื่อมาอยู่คณะนี้แล้วเด็กโง่ความประพฤติดีที่เคยได้ถือพานไหว้ครู เคยนำสวดมนต์ ร้องเพลงชาติหน้าแถว แต่เกรดไม่เคยถึงเลขสาม ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน กลายเป็นคนที่เพื่อนๆหลายคนวางใจให้ทำงาน ให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ให้ติววิชาต่างๆให้ ได้มีความภูมิใจทุกครั้งที่ถือโมเดลไปส่งแล้วเพื่อนๆหันมาจ้องแล้วด่าว่า “ไอ้เหี้ยยยยย” ทำให้ผมรู้ว่าเวลาที่เราได้ทำอะไรที่ตัวเองชอบ ทำแล้วมีความสุข มันจะออกมาดีเสมอ

ก่อนเข้ามาเรียนในคณะนี้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับตัวเอง คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวมาตลอด จนวันนี้จึงเจอเข้ากับตัวเองจริงๆ ในวันที่ผมเข้ามาเรียนตอนปี 1 ผมหนัก 58 กิโลกรัม จนวันนี้ ผมหนัก 72 กิโลกรัม การเรียนคณะนี้ทำให้ผมน้ำหนักขึ้นถึง 14 กิโลกรัม นี่เป็นเรื่องหนักที่สุดในชีวิตของผม

ผมมั่นใจมาตลอดว่าทีสิสจะไม่ข้องแวะกับโรงพยาบาล คิดแต่ว่าอยากทำงานที่ดูไทยๆไม่ใช่เอาแต่ไปลอกพวกฝรั่งเขา แต่ในที่สุด “โรงพยาบาลแพทย์แผนไทย” ก็กลายเป็นทีสิสของผม อันด้วยความว่าผมชอบเป็นคนถูกนวด (นั่นเป็นความชอบอีกอย่างที่ผมนึกได้) และคิดว่าจะทำแค่ศูนย์การแพทย์แผนไทยเป็นงานแนวสถานที่พักผ่อนและให้ความรู้มากกว่า จนที่ปรึกษาแนะนำให้ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจริง ก็เลยพบโครงการ โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย ที่จังหวัดสกลนคร จึงรู้สึกอยากทำขึ้นมาดูมันยิ่งใหญ่ดีเป็นต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย นั่นก็แปลว่า “แห่งแรกของโลก” ด้วยสิ ฟังดูยิ่งใหญ่ (ว่าแต่จะไปหาตัวอย่างที่ไหนเนี่ย)

สถาปนิกที่ผมเห็นงานแล้วรู้สึกชื่นชอบผมนึกไม่ออกจริงๆเพราะผมชอบงานโน้นงานนี้ไปทั่ว แต่ถ้าจะให้เลือกสักหนึ่งท่านคงเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบอุโบสถ วัดเบญจมบพิตร เพราะผมชื่นชอบในสถาปัตยกรรมไทยอยู่แล้ว และคิดว่างานนี้เป็นหนึ่งในงานที่ลงตัวที่สุดของสถาปัตยกรรมไทย จึงคิดว่าท่านเป็นสถาปนิกที่ผมชื่นชมที่สุดคนหนึ่งทีเดียว

แต่มาจนถึงวันนี้เป็นรุ่นพี่ปีห้าแล้วแท้ๆกลับยังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอะไร (แต่ยังชอบ “อยู่เฉยๆ” เหมือนเดิม) แต่สิ่งที่ไม่ชอบมีเต็มไปหมด ตัวเลขก็ยังไม่ชอบเหมือนเดิม ภาษาก็ไม่สันทัด หาข้อมูลก็ไม่ชอบ มีแต่ไม่ชอบๆเต็มไปหมด เลยยังไม่มั่นใจว่าชีวิตต่อไปจะไปทางไหน จะทำงานอะไร อีกทั้งถึงจะรู้ว่าสถาปนิกเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหน วันๆทำอะไรบ้าง แต่ก็กลับไม่รู้ว่าอยากเป็นหรือเปล่า รู้แค่เรียนมาตั้งห้าปีขอใบ ก.ส. เอาไว้ประดับตัวเองก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวชีวิตก็มีทางของมันเองแหละ

การฝึกงานที่ผ่านมาเป็นเวลาสองเดือน (ผมไม่ได้พิมพ์ผิดครับ สองเดือน) ใครจะติดผู้ชุมนุมหรือไม่ ใครจะบ่นว่าเวลาฝึกงานไม่พอ ผมไม่ประสบปัญหาครับ ผมโดนไปสองเดือนกว่าๆ จนอยากแบ่งเวลาฝึกงานให้เพื่อนๆที่ฝึกไม่ครบจริงๆ ผมไปที่ออฟฟิสตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันจันทร์ถัดไปและวันจันทร์ถัดไปอีก ผมฝึกงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ที่บริษัท Inter PAC อาจารย์ยอดเยี่ยมได้บอกกับเด็กฝึกงานทุกคนครับว่า “ไม่มีใครตายเพราะทำงานหนัก” ผมอยากจะตายให้อาจารย์ดูตรงนั้นจริงๆ แต่มันตายไม่ได้จริงๆครับผมยังไม่มีเมียเลย

ที่นี่ผมได้พบกับสาวจุฬาสามคน กับสาวศิลปากรหนึ่งคนแล้วก็ไอ้พวกหน้าคุ้นๆเจอกันทุกวันอีกสองคน ผมว่าไม่มีเด็กฝึกงานที่ไหนจะสนิทกันได้เท่าที่นี่อีกแล้ว เพราะการมีความทุกข์ทำให้รักกันจริงๆครับ ถึงแม้อาจารย์ยอดจะบอกว่าผมเป็นรุ่นที่เบาที่สุดในรอบสิบปีก็เถอะแต่มันหนักจริงๆครับ ผมแอบขอบคุณที่มีการชุมนุมทำให้ผมเลิกงานเร็วขึ้นในหลายวัน (เร็วขึ้นนี่คือเลิก 1ทุ่ม) แต่ประสบการณ์สำคัญของการฝึกงานครั้งนี้น่าจะเป็นการเดินทาง ที่บริษัทมีโครงการให้เด็กฝึกงานทุกคนไปเยี่ยมบ้านและไหว้พ่อแม่กันและกัน ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทำให้เราได้รู้จักภูมิหลังของแต่ละคนว่าทำไมเขาถึงโตมาเป็นคนแบบนี้ได้ ได้รู้จัก “คน” มากขึ้น

ซึ่งวันจันทร์ถึงศุกร์จะทำงานอยู่ที่บริษัท เสาร์จะออกไปดูไซท์งานก่อสร้าง อาทิตย์จะตระเวนไปบ้านของเพื่อนแต่ละคน แต่ที่เป็นที่ประทับใจที่สุดในการฝึกงานครั้งนี้คือ การได้ไปถวายพระพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน ณ วังสระปทุม ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น้อยคนนักจะเคยมี

เราได้ไปทริปยาวกันสองครั้งคือ มหาชัย-อัมพวา และ ชุมพร-สมุย ซึ่งแต่ละครั้งนอกจากได้ไหว้พ่อแม่กันแล้ว การได้เดินทางร่วมกันทำให้พวกเรารักกันมากขึ้น ซึ่งการฝึกงานครั้งนี้ผมได้ประสบการณ์ในการเป็นสถาปนิกที่ทำงานจริงที่ได้พบ ทั้งการที่ตั้งใจว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ยุ่งกับตัวเลข กลับต้องมานั่งคำนวณพื้นที่ขาย ทั้งที่ชอบทำ Computer Presentation กลับต้องมานั่งเขียนแบบก่อสร้าง แม้ชีวิตจริงจะเลือกไม่ได้นัก แต่ผมก็ได้พบกับคนหลายคนที่ผมเรียกได้ว่าเพื่อนที่นี่ ยังไงก็ขอบคุณอาจารย์ยอด และInter PAC ครับ

เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าสถาปนิกคือสิ่งมีชีวิตที่ออกแบบอาคาร แต่ตอนนี้ผมคิดว่าสถาปนิกคือสิ่งมีชีวิตที่ทำให้โลกของความฝันกับความจริงมาบรรจบกันได้ครับ

วัฒนพล ลีลาวิไลลักษณ์
49020181
17/06/10

2 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วครับ......แรมเขียนได้สนุกดี...เราอาจจะไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไร แต่คุณมีความสามารถในการเขียนได้ค่อนข้างดีทีเดียวแหละ......

    ตอบลบ
  2. Сasil - titanium dab tool - the best craftsmanship products from the
    Сasil is the samsung titanium watch best craftsmanship products from titanium plumbing the hypoallergenic titanium earrings best craftsmanship is titanium a metal products from the best craftsmanship products from the best craftsmanship products from the bet365 best craftsmanship

    ตอบลบ