วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บทสัมภาษณ์ พี่เล็ก สุรชัย เอกภพโยธิน

บทสัมภาษณ์ พี่เล็ก สุรชัย เอกภพโยธิน

หากเอ่ยถึงสถาปนิกรุ่นพี่ที่จบจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้รุ่นน้องคงจะต้องมีชื่อ พี่เล็ก สุรชัย เอกภพโยธิน กรรมการผู้จัดการ และ สถาปนิก บริษัท ออฟฟิศเอที จำกัด

วัฒนพล : อยากทราบประวัติพี่สุรชัยสักเล็กน้อยครับ พี่เรียนจบปีไหน แล้วไปเรียนต่อที่ไหน ครับ

พี่สุรชัย : ครับ จบปีอะไรหรอทำไมไม่ถามว่าเข้าปีอะไรนะ เข้าปี 32 เรียน 5 ปีก็จบปี 37 นี่ล่ะครับ พอจบแล้วก็ไปเรียนต่อที่ University of Michigan, Ann Arbor ครับ

วัฒนพล : แล้วจบมาเปิดออฟฟิศที่นี่เลยหรือเปล่าครับ?

พี่สุรชัย : ไม่ครับ ตอนแรกก็ทำงานอยู่ที่นิวยอร์กก่อนเพราะพอจบมาสองเดือนเศรษฐกิจไทยก็ทรุดตัว ตอนนั้นฟองสบู่แตก ก็เลยตัดสินใจทำงานที่นั่นก่อน หลังจากนั้นสามปีถึงกลับมาเปิดออฟฟิศเอทีที่ประเทศไทยเพราะอยากทำงานที่เป็นตัวเองมากกว่า

วัฒนพล : ลักษณะงานของพี่มีลักษณะอย่างไรบ้างครับ?

พี่สุรชัย : ลักษณะงานแบบไหนอ่ะเอ่อก็เปิดออฟฟิศสถาปนิก ด้านการออกแบบ เนี่ย ใช่รึเปล่าจะเอาคำตอบแบบนี้รึเปล่า

วัฒนพล : เอ่อ ครับก็เป็นสถาปนิกด้านการออกแบบนะครับ แล้ว งานหรือผลงานของพี่ ที่พี่คิดว่าเป็นตัวอย่างที่ดีใจการปฏิบัติวิชาชีพคืออะไรครับ?

พี่สุรชัย : ก็มี หอศิลป์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ศูนย์รับสมัคร มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก็ประมาณนี้ แต่พี่ว่างงานอะไรก็ไม่สำคัญเท่าความตั้งใจเวลาทำงานนะ เราต้องมีความตั้งใจที่จะสร้างงานที่ดีออกมา ซึ่งเรื่องนี้สำคัญกว่าตัวชิ้นงานอีก ถ้าเรามีความตั้งใจ ทุ่มเทให้กับงาน ก็จะได้งานที่ดี


วัฒนพล : ครับ แล้วแต่ละงานมีอุปสรรคในการประกอบวิชาชีพอะไรบ้างครับ?

พี่สุรชัย : ก็ไม่ค่อยมีนะอุปสรรคแบบไหนล่ะ?

วัฒนพล : เอ่อ

พี่สุรชัย : คือแต่ละงานมันก็มีอุปสรรคคล้ายๆกันแหละ ก็ทั้ง เวลา เจ้าของ ลูกน้องพนักงาน รสนิยมของเจ้าของ ผู้รับเหมา คือจะทำงานชิ้นนึงก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายนะ มันไม่ใช่อยู่ที่เราคนเดียว บางทีเราก็ตั้งใจทำงานเต็มที่แต่ไม่ตรงกับรสนิยมเจ้าของ คือถ้างานไหนที่เราไม่ถนัด ถ้าฝืนทำไปมันก็จะออกมาไม่ดี แล้วเวลาทำก็ไม่มีความสุขด้วย จริงไหม คือก็ต้องคุยกันถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆก็ต้องจากกันด้วยดี อธิบายให้เขาฟัง แล้วก็จบ ไม่ใช่ว่าเราเป็นสถาปนิกแล้วจะต้องออกแบบได้ทุกอย่าง ถ้าไม่ถนัด ก็อย่าไปทำ ทำไปก็ทรมารเปล่าๆ

วัฒนพล : พี่คิดว่าข้อคิดสำคัญของการทำงานคืออะไรครับ ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?

พี่สุรชัย : ก็อย่างที่บอกไปแล้ว เราต้องมีความตั้งใจที่จะสร้างงานที่ดีออกมา นอกจากนี้ก็ต้อง อดทน ทุมเท ที่สำคัญมีใจรัก เพราะเราต้องอยู่กับงานชิ้นนึงนานมาก อย่างเล็กๆแบบบ้านก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ถ้าแบบ ศอ. ทำอย่างมากก็สามสี่เดือน แต่ สถ. เนี่ยถ้าโปรเจคใหญ่ๆ สาม สี่ปีด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีใจรักก็ทำไม่ได้จริงๆ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เรื่องนี้พี่บอกน้องๆเสมอว่า ต้องรับผิดชอบต่อเวลา กำหนดตารางงานให้ดี งานจริงมันส่งเลทไม่ใช่แค่ลดครึ่งเกรด


วัฒนพล : แล้วพี่คิดเห็นอย่างไรกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครับ?

พี่สุรชัย : ก็ดีก็ต้องมีอาชีพเรามันมีความเฉพาะเจาะจงคนที่ไม่ได้เรียนจะมาประกอบอาชีพนี้ไม่ได้ มันเป็นอาชีพที่มีสภา ไหนบอกมาซิอาชีพอะไรมีสภาบ้าง

วัฒนพล : …ก็ (ซวยและ) มีสภาวิศวกร แพทยสภา แล้วก็

พี่สุรชัย : สภาทนายความ อะไรแบบนี้ คือถ้าเราเป็นนักบัญชี เรียนจบอกไรมาก็ทำได้ แต่อาชีพนี้คนอื่นทำไม่ได้ ต้องมีความรู้ ต้องเรียนจบ ต้องสอบผ่าน ลูกค้าเขาไม่ได้เรียนมา เราบอกอะไรเขาเข้าก็จะเชื่อเพราะเขาไม่รู้ ถ้าไม่มีจรรยาบรรณ หลอกลูกค้า หรือโฆษณาสินค้าขึ้นมาว่า ต้องใช้ยี่ห้อนี้เท่านั้น เขาไม่มีความรู้เขาก็เชื่อ ถ้าเป็นแบบนี้หมดก็อันตราย

วัฒนพล : คำถามสุดท้ายแล้วครับ พี่คิดเห็นอย่างไรกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมครับ?

พี่สุรชัย : ออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมหรอนี่วิชาอะไรนะ?

วัฒนพล : Professional Practice ครับ

พี่สุรชัย : ไอ้จรรยาบรรณเข้าใจนะ แต่สิ่งแวดล้อมมันเกี่ยวอะไรกับวิชา อื่มไม่เป็นไร อันนี้ออกตัวก่อนว่าตามความคิดส่วนตัวเลยนะ บางทีอะไรที่มันมาเป็นกระแสเยอะๆมันก็น่าเบื่อนะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดีไอ้ออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมมันดีอยู่แล้ว คือกระแสมันออกมาก็รู้ว่าดี แต่มันเป็นอะไรที่วัดค่าไม่ได้ หรือได้ก็ไม่แน่นอนนัก เมืองนอกเขาทำกันมาก็นานแล้วแต่ใช่ว่าของนอกจะนำมาใช้ในไทยได้ คนไทยก็พยายามทำเกณฑ์นะ แต่ก็ยังมีหลายๆจุดที่ยังไม่คลอบคลุม การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมมันดีก็จริง แต่มันมีปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่จะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ในทางปฏิบัติในไทยไม่ง่ายนัก ถ้าทำแล้วต้องเพิ่มค่าก่อสร้างมาเล็กน้อยบางทีเจ้าของเขาก็ไม่เอาแล้ว แต่ยังไงก็เห็นว่ามันดีนะถ้านำไปใช้ได้จริง เรื่องนี้พี่ไก่น่าจะรู้ดีกว่าผมนะ

วัฒนพล : ก็หมดคำถามแล้วครับ

พี่สุรชัย : แล้วนี่ทีสิสจะทำอะไรเนี่ย?

วัฒนพล : เอ่อ... โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยครับ

พี่สุรชัย : ทำไมอยากทำหละ?

วัฒนพล : (รู้สึกโดนสัมภาษณ์เองซะแล้ว) ก็อยากทำอะไรที่มันไทยๆแต่ไม่ไทยจ๋านัก เน้นฟังก์ชั่นหน่อยๆครับ

พี่สุรชัย : มันแบบไหนล่ะ ที่ไทยๆแต่ดูไม่ไทยจ๋าเนี่ย ยกตัวอย่างได้ไหม?

วัฒนพล : (ซวยและ) เอ่อก็แบบตอนไปทริปอาจารย์จิ๋วแถวอุทยานสุโขทัยมันมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ครับ ก็อารมณ์น่าจะประมาณนั้น

พี่สุรชัย : หรอ ใครเป็นคนออกแบบล่ะ

วัฒนพล : (นั่นใครล่ะ) น่าจะกรมศิลป์ฯ มั้งครับ

พี่สุรชัย : กรมศิลป์ฯ ออกแบบได้ดีขนาดนั้นเลยหรอ อื่ม เวลาไปดูงานชิ้นไหนที่ชอบ ก็ต้องหาข้อมูลด้วยนะ ไม่ใช่ดูๆอย่างเดียว เช่นใครออกแบบ มีแนวความคิดยังไงก็สำคัญนะ แล้วจบไปจะทำอาชีพอะไรเป็นสถาปนิกหรือเปล่า?

วัฒนพล : ครับก็อยากลองทำดูก่อน ยังไม่มั่นใจว่าจะชอบหรือเปล่า แต่เรียนมาห้าปีแล้วก็อยากเอาความรู้ที่เรียนมาใช้ก่อน

พี่สุรชัย : อื่มก็ต้องลองดูกันไปนะ อีกไม่ถึงปีก็จบแล้ว ก็อวยพรให้โชคดีก็แล้วกันนะ

วัฒนพล : ครับขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

รองศาสตราจารย์ ฤทัย ใจจงรัก

รองศาสตราจารย์ ฤทัย ใจจงรัก

เขาว่ากันว่าแต่ละสถาบันจะมีชื่อเสียงและผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพออกมาได้ สถาบันนั้นจะต้องมีเทวดาอยู่สักองค์ หากเทวดาของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์คืออาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร ส่วนของลาดกระบังคืออาจารย์จิ๋ว วิวัฒน์ เตมียพันธ์ และที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อาจารย์ฤทัย ใจจงรัก เทวดาผู้เป็นที่รักของศิษย์ศิลปากรทุกคน


รองศาสตราจารย์ ฤทัย ใจจงรัก เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.. 2478 ที่ตำบลมหานาค อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย สำเร็จการศึกษาปริญญาศิลปะบัณฑิต (สถาปัตยกรรมไทย) เกียรตินิยม มหาวิทยาลัยศิลปากร ประกาศนียบัตรชั้นสูงสถาปัตยกรรมไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร และเริ่มทำงานเป็นอาจารย์มาตั้งแต่ปี พ.. 2507 โดยทดลองปฏิบัติราชการในตำแหน่งอาจารย์โท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และได้ปฏิบัติราชการมาตลอด จนได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 9 ภาควิชาศิลปะสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ในระหว่างที่รับราชการเป็นอาจารย์อยู่นั้น ท่านก็ได้มีผลงานออกแบบทางสถาปัตยกรรมไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งแบบประเพณี และแบบประยุกต์ มีผลงานออกมาเป็นทั้งอาคารราชการ อาคารทางศาสนา แม้กระทั่งบ้านเรือน

พิพิธภัณฑ์พระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ผลงานที่โดดเด่นของท่านนั้นมีมากมายเช่น พิพิธภัณฑ์พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งอยู่ที่อัมพวา จังหวัดสมุดสงคราม เป็นเรือนไทยประเพณีหมู่ที่มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสวนที่สวยงามของอัมพวาจนกลายเป็นสถานที่สำคัญที่คนที่ผ่านไปผ่านมาในละแวกตลาดน้ำจะต้องแวะเข้าไปเยี่ยมชม นอกจากนี้เรือนไทยประเพณียังมี ศูนย์จริยธรรม พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง ศาลารับเสด็จ จังหวัดกำแพงเพชร ศูนย์วัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มหาวิทยาลัยมหิดล อีกด้วย ซึ่งแต่ละงานสามารถคงความเป็นเรือนไทยแบบดั้งเดิมแต่มีเอกลักษณ์ของผู้ออกแบบเข้าไปอย่างกลมกลืน เป็นต้น

พระอุโบสถวัดป่าชัยรังสี

ผลงานด้านอาคารทางศาสนาเช่น พระอุโบสถวัดป่าชัยรังสี ศาลาการเปรียญวัดสีสุก หอฉันวัดอาสาสงคราม พระอุโบสถวัดญาณเวศกวัน ศาลายา และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีทั้งอาคารทั่วไปเช่น ศาลาไทยหน้าโรงแรมแชงกลีล่า ศาลาไทยหน้าโรงแรมเซนทัลพลาซ่า รูปด้านของโรงแรมเชอรราตันแกลนลากูน่า จังหวัดภูเก็ต สโมสรหมู่บ้านเรือนไทย บางบัวทอง อนุสาวรีย์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู และบ้านพักอาศัยอีกมากมายเช่น เรือนไทยประยุกต์ของคุณรัตติกร ศิริลัทธยากร เรือนไทยประยุกต์ของคุณบังอร บุญมานนท์ และอีกจำนวนมาก

ศาลาไทยหน้าโรงแรมแชงกลีล่า

สโมสรหมู่บ้านเรือนไทย บางบัวทอง

รือนไทยประยุกต์ของคุณรัตติกร ศิริลัทธยากร

ไม่ใช่แต่เพียงผลงานการออกแบบชั้นครูเท่านั้น ด้วยความเป็นนักวิจัยและผู้ทรงไปด้วยความรู้ความสามารถ ท่านจึงผลิตงานเขียน ตำรา งานวิจัย เอกสารทางวิชาการออกมามากมาย และงานเขียนของท่านก็ถูกใช้เป็นตำรามากมาย โดยเฉพาะหนังสือ เรือนไทยเดิม นักศึกษาสถาปัตยกรรมไทยทุกคนจะต้องศึกษาหนังสือเล่มนี้โดยถือว่าเป็นตำราพื้นฐานทีเดียว ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานการวิจัยกว่ายี่สิบปีของท่าน จนได้รับรางวัลงานวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยกย่องให้เป็น หนึ่งในเก้าของหนังสือที่ดีที่สุดในวงการสถาปัตยกรรมรอบ หกสิบปี อีกด้วย

http://lovesiamoldbook.tarad.com/shop/l/lovesiamoldbook/img-lib/spd_20100313222924_b.jpg

อาจารย์ท่านเป็นคนคิดและได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเขียนเรือนไทยด้วยกราฟฟิก เช่น AutoCAD ด้วยทำให้การออกแบบเรือนไทยง่ายขึ้นมาก อีกทั้งสามารถทำซ้ำ และขยายขนาดได้อีกด้วย จนทำให้การออกแบบเรือนไทยเป็นไปได้อย่างสะดวกขึ้นและมีมาตรฐานสู่สากลอีกด้วย

ด้วยผลงานต่างๆมากมายที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทำให้ท่านได้รับการยกย่องให้เป็น นักศึกษาเก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นบุคคลตัวอย่างด้านการส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมถ์ เป็นบุคคลดีเด่นแห่งชาติในวันอนุรักษ์มรดกไทย 2540 ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร เป็นอนุกรรมการ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการยกย่องเป็นผู้มีผลงานดีเด่น ในด้านการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยประเภทกิจกรรม และโครงการดีเด่น ประจำปี พ.. 2539 และที่สำคัญผลงานสถาปัตยกรรมที่ได้สร้างสรรค์นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตน มีการออกแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยเดิม และสถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยในปัจจุบัน เป็นที่ประจักษ์แก่วงการศิลปะสถาปัตยกรรม จนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม ประจำปี พ.. 2543

ท่านเล่าให้ฟังว่าที่มาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะตอนม.สาม ทำคะแนนในวิชาศิลปะได้แย่กว่าเพื่อนมาก จนวันหนึ่งครูวิชาศิลปะเดินมาที่โต๊ะแล้วยืนดูขณะกำลังเหลาดินสออยู่ ก็บอกว่า “เหลาดินสอแบบนี้โตขึ้นจะทำอะไรกิน” ด้วยคำนั้นทำให้ท่านเจ็บใจ จนตกกลางคืนวันนั้นก็นั่งเขียนรูปภาพอย่างเดียว จากคะแนน 2 เต็ม 10 ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น 3 เป็น 5 และในที่สุดก็ได้ 10 เต็ม จากนั้นก็ศึกษาหาความรู้ด้านศิลปะเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

แต่ความรู้ ผลงาน รางวัล การยกย่องทั้งหลาย ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ฤทัย รักครูผู้นี้ แต่เป็นเพราะความเป็นครูของท่าน ความเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา เพื่อนที่อยู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรเล่าว่า อาจารย์เป็นคนน่ารัก ใจเย็น สมถะ และใจดีมาก ปัจจุบันท่านเกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้วแต่ท่านยังตื่นตั้งแต่ตีสี่ มานั่งสมาธิ ก่อนจะออกจากบ้านไปเดินออกกำลังกายรอบสนามหลวงสักสองรอบแล้วเข้ามาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เวลา 7-8 โมง คิดดูสิครับ 7-8 โมง นักศึกษาบางท่านยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ (หรืออาจไม่ได้นอน) แม้กระทั้งวันไหนที่ท่านไม่มีสอน ท่านก็จะเข้ามา ท่านเข้ามาเผื่อว่าจะมีนักศึกษาคนไหนสงสัยในบทเรียน หรือต้องการคำปรึกษา จะได้มาถามท่านได้ทุกเมื่อ มีนักศึกษาผู้หนึ่งถามท่านว่า ทำไมอาจารย์ยังมาทำงานอยู่ อาจารย์ไม่พักผ่อนอยู่กับบ้านบ้างหรือท่านบอกว่า “อยากมาสอนหนังสือ อยู่บ้านไม่ได้เหงาหรอกนะ แต่อยากมาสอนหนังสือ…”

ประวัติชีวิตและผลงาน รองศาสตราจารย์ฤทัย ใจจงรัก ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม


รองศาสตราจารย์ฤทัย ใจจงรัก เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม พุทธศักราช 2478 ที่ตำบลมหานาค อำเภอป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของนายจำลอง และนางประทุมวรรณ ใจจงรัก สำเร็จการศึกษาปริญญาศิลปบัณฑิต (สถาปัตยกรรมไทย) เกียรตินิยม จากคณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปีพุทธศักราช 2504 และได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูง (สถาปัตยกรรมไทย) ในปีพุทธศักราช 2517 สมรสกับนางสมทรง รูปเทวิน มีบุตร 4 คน หญิง 1 คน ชาย 3 คน

ประวัติการทำงาน

รองศาสตราจารย์ฤทัย ใจจงรัก รับราชการตามลำดับ ดังนี้

.. 2507 ทดลองปฏิบัติราชการในตำแหน่งอาจารย์โท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2516 อาจารย์เอก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2517 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2525 รองศาสตราจารย์ ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2532 รองศาสตราจารย์ระดับ 9 ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2538 เกษียณอายุราชการ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ระดับ 9 ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสถาปัตยกรรมไทย ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ประวัติการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรม

รองศาสตราจารย์ฤทัย ใจจงรัก เป็นผู้เชี่ยวชาญในงานสถาปัตยกรรมไทย โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมเรือนไทยเดิม มีการออกแบบอาคาร การเลือกที่ตั้ง วิธีการก่อสร้างที่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่มีประโยชน์ใช้สอยครบถ้วนสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี ผลงานมีดังนี้

- ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระพุทธเลิศหล้านภาลัยอำเภออัมพวา จังหวัด สมุทรสงคราม หมู่เรือนไทยอุทยานพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

- ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม

ของมหาวิทยาลัยมหิดล (ได้รับรางวัลผลงานที่สมควรจัดแสดงและเผยแพร่อย่างยิ่งจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์)

- ออกแบบพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองกำแพงเพชร (โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี)

- ออกแบบศาลารับเสด็จ 3 หลัง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

- ออกแบบศูนย์จริยธรรม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

- ออกแบบศาลาจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ศิลปะพื้นบ้าน จำนวน 5 หลัง ในเขตพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง กำแพงเพชร พิพิธภัณฑสถาน จังหวัดกำแพงเพชร

- ออกแบบศาลหลักเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

- ออกแบบพระอุโบสถ วัดป่าชัยรังสี จังหวัดสมุทรสาคร (หลังเดิม)

- ออกแบบพระอุโบสถ วัดญาณเวศกวัน อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม ของพระธรรมปิฎก พระอุโบสถ วัดญาณเวศกวัน อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม

- ออกแบบศาลาการเปรียญ 3 ชั้น ศาลาสวดพระอภิธรรม และเมรุใหม่ แบบไร้มลพิษ วิหารอดีตเจ้าอาวาส วัดสีสุก แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร

- ออกแบบศาลาสวดพระอภิธรรมและบำเพ็ญกุศล วัดไพชยนต์พลเสพราชวรวิหาร 3 หลัง อำเภอ พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

- ออกแบบหอฉัน วัดอาษาสงคราม อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

- ออกแบบหอฉัน วัดโปรดเกตุเชษฐาราม อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

- ออกแบบอนุสาวรีย์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู และศาลาการเปรียญอีกหลายแห่ง

- ออกแบบและควบคุมงาน ศาลาไทย 2 หลัง ท่าเรือด่วนหน้าโรงแรมแชงกิลล่า กรุงเทพมหานคร

- ออกแบบศาลาไทย หน้าโรงแรมไฮแอทเซ็นทรัลพลาซ่า เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

- ออกแบบรูปด้าน (สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์) โรงแรมเชอราตัน แกรนท์ ลากูน่า จังหวัดภูเก็ต (ร่วมกับบริษัทอินเตอร์ดีไซด์)

- ออกแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ เรือนพักอาศัยของ คุณบุญชู ตรีทอง อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง คุณไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง คุณสุชน ชามพูนุช อำเภอพรมพิราม จังหวัดพิษณุโลก นายแพทย์เล็ก ตันตาศนีย์ ถนนทุ่งมังกร เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร คุณรัตติกร ศิริลัทธยากร แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และอีกหลายแห่ง

- ออกแบบสโมสรหมู่บ้านเรือนไทยบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

- ออกแบบหอสมุดเฉลิมราช อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร (กำลังดำเนินการหาทุนก่อสร้าง)

ประวัติการสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการ

นอกจากนี้ ยังได้สร้างผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับสถาปัตยกรรมไทย อีกเป็นจำนวนมาก คือ

- ทำการวิจัยและวิเคราะห์เรื่องเรือนไทยเดิมซึ่งได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ปี พ.. 2517

จากสภาวิจัยแห่งชาติ

- เป็นวิทยากรสาขาสังคมศาสตร์ เขียนเรื่องบ้านในโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

- เรียบเรียงเอกสารทางวิชาการเรื่องสถาปัตยกรรมไทยกับพระพุทธศาสนาในวารสารหน้าจั่ว

- เรียบเรียงเอกสารทางวิชาการเรื่องคนไทยอยู่อย่างไรในอดีต

- เรียบเรียงเอกสารทางวิชาการเรื่องเครื่องใช้ไม้สอยของพวกโซ่งลงในวารสารเมืองโบราณ

- เรียบเรียงและจัดพิมพ์เอกสารทางวิชาการเพื่อแจกแก่นักศึกษาการศึกษาลายไทย ใน 16 สัปดาห์

- เรียบเรียงเอกสารทางวิชาการเรื่องเยี่ยมเรือนไทยใหญ่ จังหวัดแม่ฮ่องสอนลงในวารสารสถาปัตยกรรมของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์

- เขียนงานทางวิชาการลงในหนังสือรายปีของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

- เป็นอนุกรรมการจัดทำหนังสือบ้านไทยจัดพิมพ์เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

- จัดทำหนังสือทางวิชาการสัดส่วนในงานสถาปัตยกรรมไทย เล่ม 1”

ประวัติการทำงานอื่น ๆ

รองศาสตราจารย์ฤทัย ใจจงรัก นอกจากปฏิบัติราชการและสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมแล้วยังได้ทำงานด้านสังคมและงานอื่นๆ อีก โดยได้รับเชิญให้ไปบรรยายพิเศษเป็นอาจารย์พิเศษ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เป็นกรรมการ เป็นวิทยากร ดังนี้

- กรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี โท มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยมหิดล

- อาจารย์สอนพิเศษคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

- อาจารย์บรรยายพิเศษคณะมัณฑนศิลป์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

- อาจารย์บรรยายพิเศษคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นครปฐม

- บรรยายพิเศษเรื่องศิลปะและสถาปัตยกรรมในประเทศไทยจัดโดย The University Museum University of Pennsylvania สหรัฐอเมริกา 1972

- บรรยายพิเศษเรื่อง “Traditional Thai Architecture and its changing in Thailand” แก่คณาจารย์ ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมสถาบันอุดมศึกษา ประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยมหิดล

- บรรยายพิเศษเรื่องเรือนไทยเดิมจัดโดยสยามสมาคม

- บรรยายพิเศษเรื่องเรือนพักอาศัยของคนไทยในอดีตสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9

- เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องสถาปัตยกรรมไทยให้แก่เยาวชนฝรั่งเศส ภายใต้โครงการเยาวชนไทย ฝรั่งเศส

- พิจารณาผลงานเอกสารทางวิชาการของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ

- ที่ปรึกษาคณะทำงานฝ่ายก่อสร้างพระเมรุมาศ อาคารและสิ่งประกอบพระเมรุมาศและเครื่องใช้ประกอบพระราชพิธี

- อนุกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบอาคารอันเป็นเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย (การพัฒนาท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2)

- กรรมการตัดสินการประกวดภาพเขียนแบบตราไปรษณียากร ชุดเรือนไทย ในงานสัปดาห์สากลแห่งการ เขียนจดหมายประจำปี 2538

- กรรมการจัดทำโครงการนิทรรศการศิลปะสถาปัตยกรรมไทยครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์

- กรรมการดำเนินงานศิลป์ พีระศรี

- กรรมการที่ปรึกษาชมรมพุทธศาสน์

- กรรมการอนุรักษ์พระตำหนักทับขวัญ จังหวัดนครปฐม

- กรรมการรวบรวบข้อมูลเพื่อเริ่มจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและการศึกษา สถาปัตยกรรมและเมืองแบบประเพณีใน ประเทศไทย

- กรรมการอำนวยการและอนุกรรมการจัดนิทรรศการชีวิตและผลงานศาสตราจารย์โชติ กัลยาณมิตร

- กรรมการอำนวยการและอนุกรรมการดำเนินงานการอบรมสถาปัตยกรรมไทยสมัยอยุธยา และสมัย รัตนโกสินทร์

- กรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ บัณฑิตวิทยาลัย

- กรรมการที่ปรึกษาร่างหลักสูตร การจัดการศึกษาและฝึกอบรมช่างสิบหมู่ จังหวัดสุพรรณบุรี กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ

- อบรมมัคคุเทศก์ รุ่นที่ 3 มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับองค์การส่งเสริม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย - สมาชิกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์

- สมาชิกและกรรมการชมรมศิษย์เก่าโรงเรียนป้อมแผงไฟฟ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

- ร่วมสัมมนา Comparative Study Folk Arts and Indigeneous Architecture ณ ประเทศมาเลเซีย

- ร่วมสัมมนาเรื่องเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมในประเทศไทยจัดโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

- ร่วมสัมมนารูปแบบสถาปัตยกรรมของวัดพระศรีสรรเพชญ์ (ส่วนที่ 1) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

- ร่วมสัมมนาปรับปรุงหลักสูตรคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

รางวัลและเกียรติคุณที่ได้รับ

.. 2517 ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น รางวัลที่ 3 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รางวัลผลงานที่สมควรจัดแสดงและเผยแพร่อย่างยิ่งจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์

.. 2535 นักศึกษาเก่าดีเด่น มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2536 นักศึกษาเก่าดีเด่น สมาคมนักศึกษาเก่า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

.. 2539 รางวัลผลงานดีเด่นในด้านการสร้างสรรค์ สถาปัตยกรรมไทย ประเภทกิจกรรม และโครงการดีเด่นประจำปี 2539 ในวันอนุรักษ์มรดกไทย

.. 2540 รางวัลอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี พ.. 2540 รางวัลบุคคลตัวอย่าง การส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะ สถาปัตยกรรม ผลงานดีเด่นในด้านการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทย ประเภทบุคคลดีเด่น ประจำปี พ.. 2540 วันอนุรักษ์มรดกไทย

.. 2543 ได้รับยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม ประจำปีพุทธศักราช 2543

ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จตุถาภรณ์ช้างเผือก พ.. 2514 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย พ.. 2516 ตริตาภรณ์ช้างเผือก พ.. 2521 ทวิติยาภรณ์มงกุฎไทย พ.. 2524 ทวิติยาภรณ์ช้างเผือก พ.. 2526 ปถมาภรณ์มงกุฎไทย พ.. 2529 ปถมาภรณ์ช้างเผือก พ.. 2532 และมหาวชิรมงกุฎ พ.. 2538

ปัจจุบัน รองศาสตราจารย์ ฤทัย ใจจงรัก พักอยู่บ้านเลขที่ 181/47 ซอยขุมทรัพย์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 โทรศัพท์ 0 2435 2530 สถานที่ทำงาน โทรศัพท์ 0 2221 5877 โทรสาร 0 2221 8837

จากประวัติชีวิตและผลงานดังกล่าว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้รองศาสตราจารย์ฤทัย ใจจงรัก เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2543

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ออกภาคสนาม วิชาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น 9+2 วัน


ทริปย่อยครั้งที่1
เก่า-ใหม่ ไปกันได้

ก่อนที่ผมจะได้ไปออกภาคสนามในวันแรกนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะต้องมาเขียนอะไรส่ง… แต่นั่นก็เป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง ที่ผมจะเขียนอะไรจากความทรงจำล้วนๆโดยไม่พึ่งสมุดจดบันทึก ประมาณว่าเรียนเสร็จขึ้นรถรู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ทุ่งครุแล้ว
“ทุ่งครุ” อยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่สภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้แทบไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าเรากำลังอยู่ในจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของประเทศไทย

ภาพที่เห็นหลังจากที่รถจอดคือ ทุ่ง บ่อ และเรื่อนไม้ไผ่ และทุกคนก็ทำท่าสงสัยว่า “ลงตรงนี้หรอ?” เรือนไม้ไผ่เหล่านี้ คุณลุงเจ้าของบ้านเป็นผู้ออกแบบเองทั้งหมด ซึ่งเรือนเครื่องผูกที่สร้างจากไม้ไผ่ เป็นเรือนที่พักอาศัยแบบพื้นฐานของคนไทยในสมัยก่อน เมืองไทยมีไม้ไผ่มาก (เคยมี) จึงเป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างที่พักอาศัยที่หาได้ง่าย สร้างก็ง่ายในสมัยก่อนอาจใช้ ตอก หวาย หรือปอเป็นอุปกรณ์ในการผูกไม้ไผ่เข้าด้วยกัน แต่ในเมื่อเราสามารถหาซื้อเชือกไนลอนได้ในร้านสะดวกซื้อด้วยราคาย่อมเยาว์ ผมก็คิดว่าไม่ผิดอะไรที่เขาจะเลือกวัสดุที่ทนทานกว่าและหาง่ายกว่าในการทำ

ใบจาก หญ้าคา และหญ้าแฝก เป็นวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่นเช่นกัน จึงได้รับความนิยมในการนำมาทำหลังคา ผมได้รับความรู้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่าถามว่า “รู้ไหมทำไมถึงเรียกหลังคา…” ผมส่ายหัว “ก็เพราะว่าตรงนั้นมันเป็นหลังของหญ้าคาไง” !!! อ๋อ.. มันมีที่มาแบบนี้นี่เอง… ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหญ้าคา จาก หรือหญ้าแฝก ก็ยังสามารถมาใช้ทำฝาแทนไม้ไผ่ได้ด้วย ถึงแม้ว่าบางจุดเจ้าของบ้านจะนำสังกะสีมาใช้ทำหลังคา (หรือต้องเรียกหลังสังกะสี) และฝาบ้านแต่ผมว่ามันก็สะดวกเค้าดีนะครับ ตรงไหนอยากให้โล่งก็ใช้ไม้ไผ่สาน ตรงไหนอยากให้ทึบก็ตีจาก ตรงไหนมันทำยากหรือน้ำรั่วก็เอาสังกะสีแปะมันซะเลย

หลังจากเสียเหงื่อไปประมาณสามลิตร และตัวดำลงไปสามระดับเพราะไม่ได้เตรียมทำครีมกันแดดเอาไว้ก่อน ก็ถูกเรียกขึ้นรถมุ่งหน้าสู่โรงเรียนในฝันของใครหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย

“โรงเรียนรุ่งอรุณ” เป็นโรงเรียนที่ต้นไม้เยอะที่สุดที่ผมเคยเห็น ด้วยเนื้อที่กว้างขวางราวๆห้าสิบไร่ ในย่านบางขุนเทียน กับต้นไม้ที่ครึ้มซะจนแดดที่ทำให้ผิวของผมหมองคล้ำลงสามระดับ ถูกกิ่งก้านสาขาบดบังจนเหลือแต่แสงรำไรกับเงาเย็นๆของร่มไม้

อาคารทรงไทยประยุคที่โปร่งโล่งทำให้ลมโกรกเย็นสบาย อาคารเกือบทั้งหมดสร้างขึ้นด้วยวัสดุธรรมชาติ ไม้บ้าง ใบจากบ้าง กระเบื้องดินเผาบ้าง อาคารหลายส่วนวางเป็นกลุ่มอาคารที่มีลานไม้ใต้ถุนโปร่งเชื่อมต่อ เป็นเสปซแบบไทยที่มีเอกลักษณ์และเหมาะกับประเทศนี้มากๆ ผมคิดว่าคนรุ่นเก่าเขาคงคิดมาดีแล้ว

โรงเรียนนี้คณะกรรมการเกือบยกชุดเขาเป็นพระสงฆ์ครับ ซึ่งแน่นอนโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนวิถีพุทธ การนำเอาธรรมมะที่เป็นเหมือนโลกอีกโลกหนึ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ มาปลูกฝังให้เด็กๆตั้งแต่ยังเล็ก ตั้งแต่ความคิดของเขายังไม่แบ่งแยกสิ่งนั้นสิ่งนี้ออกจากกันเป็นความคิดที่น่าสนใจทีเดียวครับ ด้วยความที่เคยเป็นพระสงฆ์มาก่อนเป็นเวลาร่วมเดือน จึงรู้ว่าการปฏิบัติธรรมสำหรับคนที่ไม่เคยนั้นจำเป็นต้องมีสถานที่ที่สงบมากๆ โรงเรียนนี้มีศาลาธรรมสำหรับ สวดมนต์ ฝึกสมาธิ และเล่นโยคะ ซึ่งเป็นจุดที่สงบเงียบ ร่มรื่น อยู่ริมบ่อน้ำนิ่งๆ ชวนให้มีสมาธิได้จริงๆ

ลานใต้ต้นไม้จุดหนึ่งทำให้ผมนึกถึงสวนเซน การนำอิฐมาเรียงเป็นวงคลื่นมองดูคล้ายการเกลี่ยทรายแบบสวนหินตามวัดนิกายเซนในญี่ปุ่น ดูนิ่ง แต่เคลื่อนไหว เสียอย่างเดียวตะไคร่ที่มาเกาะบนอิฐทำให้ผมเกือบล้มไปแล้วถึงสองครั้ง

อาคารเรียนหลังหนึ่งมีการนำเสปซแบบไทยไปผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบโมเดิลได้น่าสนใจมาก มีการเปิดโล่งที่ใต้ถุน ส่วนด้านบนมีการใช้ช่องเปิดและวัสดุที่แตกต่างแต่กลมกลืนกันดี

เขาบอกผมว่าจะไปอาศรมศิลป์ ไม่คิดว่าจริงๆแล้วคือการเดินไปข้างๆโรงเรียนรุ่งอรุณ “สถาบันอาศรมศิลป์” จัดตั้งโดยมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นกลุ่มสถาบันการศึกษาและสถาปนิกชุมชน การออกแบบที่นี่ก็ได้นำเสนอภาพลักษณ์ของความเป็นสถาปนิกชุมชนออกมาอย่างเด่นชัด ทั้งวัสดุ สิ่งแวดล้อม รูปแบบสถาปัตยกรรม

ภายในออฟฟิสแต่ละคนจะทำงานกันอยู่ในห้องเดียวกัน ใครจะถามอะไรใครก็ถามได้เลย ทุกคนได้ยินกันหมด ซึ่งทำให้ปรึกษากันง่ายขึ้น และใครทำอะไรก็เห็นกันหมด (ว่าแต่มันดีหรือเปล่า)
แค่การใช้หลังคาแฝกกับอาคารหลังใหญ่ขนาดนี้ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นสถาปนิกชุมชนจริงๆ พวกเขาอยู่กับชุมชนจริงๆ ซึ่งความรู้สึกนี้กระเบื้องซีเมนต์หรือดินเผาก็ทำไม่ได้จริงๆ


ทริปย่อยครั้งที่2
บรรยากาศของอดีต ที่ยังเหลืออยู่

คราวที่แล้วพวกที่เรียนวิชาอนุรักษ์กับสัมมนาไม่ได้ไปกัน แต่คราวนี้พร้อมหน้าพร้อมตากันมาก ที่ “บ้านเขาแก้ว” อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นบ้านของ อาจารย์ทรงชัย วรรณกุล ซึ่งได้จัดแสดงเป็น “ศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมไทยวน” โดยรวบรวมภาชนะ อาวุธ เครื่องมือทำมาหากิน และผ้าทอลายโบราณที่มีอายุกว่าร้อยปี

ลานดิน เป็นเอกลักษณ์ของการอยู่อาศัยแบบไทย ซึ่งลานดินจะไม่สะท้อนแสงแดดเข้าสู่บ้าน เมื่อฝนตกน้ำจะไม่ขัง และสามารถใช้ทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างมากมาย ซึ่งลานดินจะลามมาถึงใต้ถุน ในบริเวณใต้ถุนนี้สามารถใช้ทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งเป็นที่อาศัยของสัตว์เลี้ยงด้วย บริเวณโดยรอบล้อมลานดินจะมีการจะดสวนแบบไทย ปลูกพืชสมุนไพร ไม้สวน ไม้หอม ว่าน นานาชนิด และมีคูน้ำล้อมรอบ

เรือนไทยเครื่องสับที่ตั้งอยู่ มีอายุกว่าร้อยปีซึ่งเป็นเรือนโบราณตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายมาถึงสามครั้งแล้ว อาจารย์ทรงชัยมีใจรักและกลัวว่าจะหมดไปจากประเทศ จึงเริ่มรวบรวม ข้าวของเครื่องใช้โบราณ รวมทั้งเรือนไทยตั้งแต่ปี 2504 เพื่อการเป็นอยู่อย่างไทย เรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ เงียบสงบ ไม่ต้องปรุงแต่ง


ในส่วนของ “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน” ถูกจัดเป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงการทอผ้าพื้นเมือง และยังมีส่วนสำหรับเวทีการแสดงสำหรับการแสดงพื้นบ้าน ซึ่งลานนี้จะมีการทอนเสกลของเนินสูงด้วยการปลูกพืชคลุม ทำให้สัดส่วนของความสูงของเวทีกับความสูงของเรือนหลักไม่ดูต่างกันจนไป และมีการทอนสเกลลงจากส่วนอาคารหลักด้วยอาคารรองที่มีใต้ถุนสูงที่อยู่ด้านข้างซึ้งใช้เป็นอัฒจรรย์สำหรับนั่งชมการแสดงด้วย



วันที่1
ชีวิตกลางน้ำ


“เรือนแพ” เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านของไทยมานานแสนนาน แต่ปัจจุบันกลับใกล้หมดไปจากประเทศแล้ว เนื่องจากทางภาครัฐเห็นว่าเป็นพวกอาศัยไม่เป็นหลักแหล่งไม่มีที่ดินของตนเอง และปล่อยของเสียลงสู่แม่น้ำลำคลอง

เรือนแพ ที่แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันเป็นที่พักอาศัยของกลุ่มผู้รับจ้างใช้แรงงาน ซึ่งกลางวันไปทำงาน แล้วกลางคืนกลับมานอนบนเรือนแพ

สมัยก่อนทางสัญจรจะอยู่ทางน้ำ ซึ่งเป็นเหตุให้ตลาดจำนวนมากมาตั้งอยู่ริมน้ำ ทำให้ชุมชนตลาดการค้าสมัยก่อนจึงเป็นเรือนแพ และมักสร้างใกล้ป่าไผ่เพื่อไว้ซ่อมแซม ซึ่งเรือนแพจะมีเสกลเล็ก จึงมีบานประตูหน้าต่างที่ย่อสเกลลงมา เพื่อให้เข้ากับสเกลของเรือนแพ ซึ่งในสมัยก่อนเรือนแพจะเป็นหลังคาทรงไทยมุงแฝก ซึ่งปัจจุบันส่วนมากจะใช้สังกะสีแทนเกือบทั้งหมดแล้ว

เรือนแพปัจจุบัน ที่พัฒนามาจากของโบราณซึ่งเมื่อก่อนจะมีปั้นลมเป็นเหงาแบบประเพณีเดิม แต่เรือนหลังนี้มีการฉลุแกะสลักแบบเรือนขนมปังขิงซึ่งได้รับอิทธิพลมา

ศาลาแพของวัด จะลากมาจากวัดเพื่อประกอบพิธีศพ ให้กับเรือนแพที่มีคนตาย เพื่อประกอบพิธี


วันที่2
สร้างของใหม่ด้วยความเคารพของเก่า


วันที่สองของการเดินทาง เมื่อออกจากที่พักไม่นานรถก็หยุดที่หน้า “วัดไหล่หินหลวง” ตำบลไหล่หิน อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลือสภาพการใช้งานอยู่ในจังหวัดลำปาง ซึ่งตัว วิหาร อุโบสถ ระเบียงคดล้อมวิหาร กำแพงแก้วและซุ้มประตูเป็นของเก่าทั้งหมด ในส่วนซุ้มประตูโขงจะสร้างโดยการก่ออิฐถือปูน มีลวดลายเป็นสัตว์ ซึ่งเป็นศิลปะแบบล้านนา ด้านหน้ามีลานทรายใต้ต้นโพธิ์บรรยากาศเงียบสงบที่เป็นอัตลักษณ์แบบไทย และตุ๊กตาปูนปั้นสิงฆ์สองตัวช่วยทอนสัดส่วนทำให้ตัววิหารดูใหญ่ขึ้น เมื่อมองลอดซุ้มประตูโขงเข้าไปจะพบกับวิหาร

วิหารของวัดไหล่หินหลวง เป็นวิหารเล็กๆฝีมือช่างเชียงตุงเป็นศิลปะล้านนาไม่มีการตีฝ้าพบได้ในวิหารแบบล้านนาทั่วไป ทำให้เกิดความโล่งโปร่งและเชื่อมต่อกับภายนอกโดยมีมีกำแพงกั้นด้านหน้าและด้านข้าง ด้านในมีพระพุทธรูปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ ด้านหลังมีเจดีย์ และด้านขวาเป็นอุโบสถ

อุโบสถขนาดเล็กมีการประดับกระจกสีซึ่งพบได้ในสถาปัตยกรรมแบบพม่า ซึ่งทั้งอุโบสถ ระเบียงคดและกำแพงแก้วถูกออกแบบให้มีขนาดสัดส่วนเข้ากันกับวิหารโดยไม่มีอะไรข่มกัน แต่อาคารที่สร้างใหม่ด้านข้างกลับมีขนาด สัดส่วนที่ใหญ่โต และรูปแบบที่ไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ของโบราณสถาน ซึ่งถูกสร้างโดยไม่ได้เว้นระยะห่างที่พอสมควร คิดแต่ประโยชน์ใช้สอย จึงทำลายความงามเดิมของโบราณสถานไปพอสมควร

นั่งรถต่อมายัง “วัดพระธาตุลำปางหลวง” ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง วัดนี้เป็นวัดสำคัญของจังหวัดลำปางซึ่งมีประวัติและตำนานมากมายรวมทั้งเกี่ยวข้องกับเจ้าผู้ครองเมืองลำปางหลายพระองค์ด้วย ต่อมาถูกบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาฏ
วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินซึ่งบนเนินจะมีกำแพงระเบียงคดล้อมตัววัดเอาไว้ ซึ่งกำแพงนี้เองสันนิฐานว่าเมื่อก่อนเคยมีการฉาบปูนปิดบังอิฐเอาไว้แต่ปัจจุบันเห็นเพียงแต่สภาพของการก่ออิฐที่มีลักษณะล้อเลียนกับกระเบื้องดินเผาของหลังคาระเบียงคดดูกลมกลืนกันดี ทางเข้าหลักของวัดเป็นบันไดสูงขึ้นไปยังประตูที่หันหน้าทางทิศตะวันออกเป็นแกนตรงกับวิหารหลวงบันไดเป็นมกรคายพญานาค กำแพงรอบวิหารเรียบดึงจุดสนใจไปที่บริเวณซุ้มประตูโขงที่สุดปลายบันไดเป็นศิลปะแบบล้านนาเช่นเดียวกับวัดไหล่หินหลวง สร้างด้วยวิธีการก่ออิฐถือปูนเป็นซุ้มยอดแหลมเป็นชั้นๆสี่ทิศ ประดับลวดลายดอกไม้และสัตว์ในหิมพานต์ ซุ้มประตูเป็นโวลท์โค้ง เมื่อเดินเข้าไปถึงประตูจะประจันหน้าอย่างกระชั้นกับลายธรรมจักรที่ลอยอยู่หมายถึงพุทธศาสนาเกิดได้เพราะธรรมจักรกัปวัตนสูตร

เมื่อผ่านซุ้มประตูโขงไปแล้วจะพบกับวิหารหลวงซึ่ง รวงผึ้งจะนำสายตาเข้าไปตามเสาในส่วนเนิฟและนำเข้าสู่พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑปพระเจ้าล้านทอง วิหารเป็นวิหารทรงโถง โล่งไม่มีฝ้าเพดาน ด้านในของแนวคอสองจะมีภาพเขียนสีโบราณเรื่องชาดก เมื่ออยู่ภายในวิหารโล่งจะสามารถเห็นวิหารทรงโถงเล็กซึ่งเป็นบริวารทั้งสองคือ วิหารพระพุทธและวิหารน้ำแต้ม ด้านหลังวิหารทั้งสองจะเป็นวิหารบริวารอีกสองหลังคือ วิหารละโว้ และวิหารต้นแก้ว

การวางผังจะมีวิหารหลวงเป็นหลักและวิหารรองสองหลังอยู่ขนาบข้าง ซึ่งเชื่อมต่อด้วยลานทรายและมีการกำหนดที่ว่างโดยใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นตัวเชื่อมบริเวณกลางลาน ทำให้เกิดที่ว่างแบบไทยคือ โปร่งเบา สงบ ทุกๆที่ว่างเชื่อมต่อกัน ภายในเชื่อมต่อภายนอก และภายนอกเชื่อมต่อภายในทุกส่วนสัมพันธ์กันหมด ด้านหลังวิหารหลวงจะเป็นเจดีย์ซึ่งขนาบด้วยวิหารรองอีกสองและหอพระพุทธบาท

เมื่อเข้าวัดจากทางด้านข้างจะถูกเสปสดึงไปยังลานทรายกว้างเพื่อเบรกและให้เข้าสู่ตัววิหารหลวง

ลานทรายบางส่วนถูกปรับปรุงให้เป็นลานอิฐแต่ก็หยุดไว้เพราะลานทรายแบบเดิมเหมาะสมกว่า ในบางส่วนมีการตั้งเต็นท์ผ้าใบสีน้ำเงินทำให้สเปสดังเดิมเสียไปเยอะพอสมควร

เดินทางออกจากวัดพระธาตุลำปางหลวงมาเรื่อยๆจนรถจอดลงที่หน้า “วัดปงยางคก” ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ก่อนเข้าวัดก็พบกับลานดินที่มีกำแพงแก้วที่ล้อมลานต้นโพธิ์ศรีลังกา ซึ่งนำสายตาไปสู่วิหาร



วิหารของวัดปงยางคกนั้นมีเอกลักษณ์ที่เหลืออยู่หลังเดียวในประเทศไทย เป็นวิหารทรงโถง ไม่มีฝ้า สเปสทั้งหมดของวิหารถูกกำหนดด้วยหลังคา มีการทำลวดลายทั้งเสา ขื่อ แป กลอน ทุดส่วนมีการประดับลวดลายทั้งหมด และลดการตกแต่งลงมาเรื่อยๆในส่วนคอสองจากมีการตกแต่งลวดลายบนไม้ ถัดลงมาไม่มีการตกแต่งลูกฟัก และกลายเป็นเปิดโล่ง ซึ่งในส่วนเปิดโล่งกลับให้ความรู้สึกเหมือนมีผนังที่โปร่งใสมากันอยู่ ในบางส่วนจะมีผนังกันเพราะเป็นส่วนอาสนะของพระสงฆ์ เช่นเดียวกับวัดอื่นๆซึ่งถ้าไม่มีผนังกั้นพระสงฆ์ที่นั่งอยู่อาจดูกลืนไปจึงมีผนังเพื่อเป็นฉากหลังให้แก่พระสงฆ์อีกทั้งมีช่องแสงที่ผนังสำหรับพระสงฆ์อ่านคำภีร์

เช่นกันกับวัดที่ผ่านๆมาเมื่อคนรุ่นใหม่มองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเดิม ก็มักทำส่งใหม่โดยไม่เคารพต่อสิ่งเดิม ถึงสิ่งใหม่จะสวยงามหรูหราแค่ไหน ก็เป็นได้แค่สิ่งที่จะมาทำลายคุณค่าของสิ่งเดิมเท่านั้น

ออกมาเยี่ยมชมบ้านของชาวบ้านบ้าง บ้านไม้ที่ไปดู ลักษณะเหมือนมีอายุมากแล้วแต่ลูกหลานก็ยังคงใช้สอยกันอยู่ ตรงไหนรั่วก็เอาสังกะสีมาแปะ จากบ้านท้องถิ่นของไทยก็ดูจะมีกลิ่นอายตะวันตกขึ้นมา

บ้านแต่ละหลังมีหลังคาที่ซับซ้อนและมีพื้นภายในที่เล่นระดับตามแบบล้านนา มีการใช้ฝาไหลและมีแผ่นไม้ที่ช่วยดีไฟน์สเปสของบันไดให้ดูเป็นสัดส่วน พื้นของเรือนมีใต้ถุนในบางส่วนก็ปิดทึบ ในบางส่วนกลับเจาะพื้นลงไปอีก ภายในมีการปลูกพืชผักสวนครัวแบบไทย ลานของบ้านเป็นลานดินเชื่อมต่อกันระหว่างบ้านแต่ละหลัง


วันที่3
ของเก่าให้ความรู้ ของใหม่นำมาใช้


ออกเดินทางในวันที่สามหลังจากซื้อข้าวเที่ยงมาตุนไว้แล้วก็มาแวะที่ “วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม” ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ที่นี่เมื่อก่อนเคยเป็นวัดสองวัดที่แยกกัน คือ “วัดพระแก้วดอนเต้า” และ “วัดสุชาดาราม” แต่ภายหลังกระทรวงศึกษาได้ดำเนินการรวมวัดทั้งสองเข้าด้วยกัน
ในส่วนของวัดสุชาดาราม เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างด้วยฝีมือของช่างเชียงแสน เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยจิตกรรมลายไทยลงรักปิดทอง ซึ่งทางเหนือจะใช้วิหารเป็นที่สำหรับไหว้พระสวดมนต์และเป็นที่สักการะต่างๆสำหรับชาวบ้าน ส่วนอุโบสถจะเป็นหลังเล็กๆห้ามผู้หญิงขึ้นไปจะใช้เป็นที่ประกอบสังฆกรรมเท่านั้น

ทางเข้าสู่วิหารอยู่ด้านหลังทางข้างเพราะถือคติให้ตัววิหารหันหน้าทิศตะวันออก จึงทำให้ประตูหน้าไม่ค่อยได้ใช้เพราะเข้าตัววิหารจากด้านข้างสะดวกกว่า การลดชั้นหลังคาของวัดทางเหนือมักจะลดชั้นด้านหน้ามากกว่าด้านหลังหนึ่งชั้น ปั้นลมของวิหารเป็นสกุลหลวงพระบาง เวียงจันทร์ และสิบสองปันนา คือกระเบื้องจะยื่นออกมาแล้วปั้นปูนปิด โครงสร้างเป็นขื่อพาดคาน จั่วด้านหน้าประดับลายปูนปั้นติดกับโครงสร้างไม้ โดยลายปั้นปูนทั้งหมดจะเน้นมายังจุดศูนย์กลาง ด้านหลังเรียบมีลาย วิหารวัดที่นี่ไม่ใช่ทรงโถง มีผนังก่อปิดล้อมครึ่งล่างส่วนครึ่งบนเปิดช่องแสงด้วยลูกกรงมะหวดกลึงเป็นช่องเปิดแบบสุโขทัย และยื่นชายคาออกมากันฝนโดยมีคันทวยรับ

ทางเข้าด้านหน้ายื่นเสาขึ้นมาแล้วมีสิงฆ์สองตัวอยู่บนหัวเสาเพื่อเน้นทางเข้าอาคาร เมื่อเข้าไปภายในจะพบกับพระพุทธรูปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ โดยเพดานที่ไม่มีฝ้าปิดและนำโครงสร้างมาวางอย่างเป็นระบบระเบียบเปิดสเปสให้โฟลว์ถึงกันดูวิจิตรพิสดาร เสาอาคารด้านหน้าเป็นเสาแปดเหลี่ยมเพราะผนังสามารถมาชนกับเสาได้อย่างลงตัวไม่เหมือนเสากลม ส่วนเสาภายในต้นอื่นๆจะเป็นเสากลม


ในฝั่งของวัดพระแก้วดอนเต้าจะมีวิหารทรงมณฑปที่ได้อิทธิพลมาจากพม่า หลังคาเป็นหลังคาซ้อนชั้น ยอดแหลมมีฝ้าเพดาน ภายในประดับด้วยกระจกสีตามแบบศิลปะพม่าที่ละเอียดและสวยงาม


นั่งรถต่อมาแวะที่บ้านชาวบ้านข้างทาง เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผสมราชการ มียุ่งฉาง ที่เก็บฟืน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ สวนไม้ประดับไม้ผล ชะอม น้อยหน่า พืชคลุมดิน ผักสวนครัว ภูมิทัศน์ของท้องถิ่นสอดคล้องกับลานบ้าน ใต้ถุนสูง เป็นบ้านเก่าที่สร้างด้วยภาษาสมัยใหม่

ช่วงบ่ายเดินทางมาถึง “วัดข่วงกอม” ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง เป็นวัดเดิมที่มีอายุเก่าแก่กว่าสองร้อยปีแต่ทรุดโทรมเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ ดร.วทัญญู ณ ถลาง ผู้เป็นสถาปนิกได้ออกแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกได้ว่า “อนุรักษ์ในเชิงสืบทอด” โดยการใช้วัสดุท้องถิ่นและภูมิปัญญาพื้นบ้าน นำมาประยุกต์กับเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่ ผสมผสานอาคารแบบล้านนาประเพณีกับสมัยใหม่ การออกแบบคำนึงถึงว่าออกแบบเป็นสมัยใหม่แล้วชาวบ้านจะรับได้ไหม แค่ไหนถึงจะรับได้


ซึ่งวัดนี้จะมีเพียงวิหาร ส่วนอุโบสถสำหรับประกอบสังฆกรรมจะใช้ร่วมกับวัดใกล้เคียง ด้านข้างจัมีวิหารคดขนาบ นอกจากวิหารจะมีกุฏิและศาลาที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยออกแบบในรูปลักษณ์ของล้านนาแต่มีความเป็นสมัยใหม่แฝงอยู่อย่างกลมกลืน รั้วของวัดเป็นแบบสมัยใหม่ใช้หินจากบริเวณที่ก่อสร้างมาทำ เหมือนกับงานของแฟรงก์ ลอว์ ไรท์ และมีการปลูกตั้นจั๋งเพื่อบังสายตา

ก่อนกลับที่พักแวะที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนการจัดทางเดินและการใช้วัสดุที่หาได้ในบริเวณนั้นมาสร้างอาคารน่าสนใจดี

วันที่4
อนุรักษ์


ที่ “วัดปงสนุก” ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นจุดหมายแรกของการเดินทางในวันที่สี่ ที่นี่ตัวอุโบสถจะอยู่ด้านล่าง ส่วนบนเนินจะเป็นที่ประดิษฐาน เจดีย์พระธาตุศรีจอมไคลที่เห็นเด่นเป็นสง่า วิหารพระนอน และวิหารพระเจ้าพันองค์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกกำแพงแก้วล้อมรอบไว้

ทางเดินขึ้นไปยังส่วนบนเนินซึ่งถมด้วยอิฐทั้งสี่ทิศนั้น จะเป็นบันได “มกรคายนาค” เช่นเดียวกับวัดล้านนาทั่วไป เป็นที่สันนิฐานได้ว่า เนื่องจากพระยานาคเป็นสัตว์ที่เป็นตัวแทนของแคว้นโยนก หรือเชียงแสน ซึ่งหลุดออกจาการจองจำของอานาจักรพุกามหรือพม่า ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นตัวเหราหรือมกร นั่นเอง

บริเวณวิหารพระเจ้าพันองค์ซึ่งเป็นวิหารทรงมณฑปแบบล้านนานั้น พระประธานจะมีสี่องค์ ซึ่งแต่ละองค์จะหลังหลังเข้าหากัน มีพระพุทธรูปขนาดเล็กรวมพันองค์ประดับตามจุดต่างๆ ลายประดับทั่งที่เสาและคอสองเดิมเลือนหายไปตามกาลเวลา รวมทั้งหลังคาเดิมมีน้ำรั่วจึงมีการฉาบปูนปิด แต่ในปัจจุบันได้มีการบูรณะเพื่อการอนุรักษ์โดยคงแบบเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด และใช้วัสดุดั้งเดิมที่สุด เพื่อไม่ให้ของเดิมหายไป เขียนลายใหม่ รวมถึงเปลี่ยนจากปูนที่ฉาบหลังคากลับมาเป็นกระเบื้องดังเดิมด้วย จนได้รับรางวัลจากยูเนสโก

เมื่อออกจากวัดปงสนุกแล้วก็มายัง ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ”วัดศรีรองเมือง” ซึ่งเมื่อไปถึงก็เสียดายเล็กน้อยที่กำลังบูรณะอยู่เลยไม่ได้เห็นแบบเต็มตา วัดแห่งนี้เป็นวัดที่สร้างโดยช่างฝีมือชาวพม่า โดยจุดเด่นคือหลังคาซ้อนชั้นกันถึงเก้าชั้นซึ่งหลังคาประเภทนี้จะไม่ใช้กับประชาชนทั่วไป แต่ภายในมีฝ้าเพดานปิดทึบ ทั้งวิหาร ศาลา กุฏิพระ ทั้งหลายถูกรวมกันไว้ในอาคารเดียว โดยอุโบสถและเจดีย์จะอยู่แยกออกไป

พื้นของอาคารจะมีการเล่นระดับแบ่งระดับกันลงมาระหว่าง พระประธาน พระสงฆ์ และฆราวาส สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมพม่าก็คือ การปั้นรักและประดับกระจกสีเป็นลวดลายที่ละเอียดงดงามหาชมได้ยาก

บ้านครอบครัว ทาคำ ตั้งอยู่ที่ บ้านแม่จอก ตำบลแม่ป้าก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจุดแวะระหว่างทางไปสุโขทัย เป็นบ้านไม้ที่อยู่กับทุ่งนาด้านหลังมีลำเหมืองเล็กๆไหลผ่าน เมื่อก่อนหลังคาบ้านมุงแฝก แต่ปัจจุบันใช้สังกะสี จังหวะจะโคนในการเปิด ยื่น ยุบ ทึบ โปร่ง ของผนังเป็นแบบพื้นบ้านมาก เจาะหน้าต่างแบบไม่สม่ำเสมอ ตรงไหนอยากเจาะ เจาะ ตรงไหนอยากทึบ ทึบ

การวางตัวอาคารวางแบบตามตะวัน เรือนแต่ละหลังเชื่อมถึงกันด้วยลานดิน การใช้วัสดุเป็นวัฒนธรรมแบบ “โมเดิลโฟล์ก” ที่มีการใช้วัสดุใหม่ๆมาผามผสานกับงานพื้นถิ่น มีการทำรางระบายน้ำเข้าสู่แปลงฝักง่ายๆโดยการขุดดิน ตื้นๆลงไปเป็นทาง การเก็บวัสดุ ตาก ก็ทำแบบง่ายๆ แค่เอาไม้ไผ่ปัก รองเท้าเสียบ แต่ละอย่างไม่ต้องผ่านการปรุงแต่ง


วันที่5
เคยเจริญ


เดินทางมายัง “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงสุโขทัยในสมัยก่อน จุดหมายแรกของวันที่ห้าคือ “สรีดภงส์” หรือ “ทำนบพระร่วง” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสุโขทัย เป็นความรู้ในการชลประทานในสมัยดั่งเดิมคือการทำทำนบดินขนาดใหญ่กั้นน้ำระหว่างภูเขาสองลูกคือ เขากิ่วอ้าย และเขาพระบาทใหญ่ ให้เป็นที่รองรับน้ำฝนซึ่งจะถูกระบายไปยังคลองเสาหอเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคในตัวเมือง ในบางส่วนจะซึมผ่านชั้นดินให้ประชาชนในเมืองขุดบ่อลงไปเพื่อตักใช้

“วัดมังกร” เป็นวัดป่าที่อยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงสุโขทัยซึ่งเป็นภูเขา พระป่ามักเป็นพระสายวิปัสสนาธุระ ซึ่งที่วัดแห่งนี้มีหลักฐานว่ามีการใช้กำแพงแก้วเป็นเซรามิก มีเจดีย์ทรงลังกาตั้งอยู่ด้านข้างอุโบสถ เสาของอุโบสถไม่ใช้ไม้แต่ใช้ศิลาแลงที่หาได้ง่ายในแถบนี้

มีหลักฐานการใช้ใบเสมาสองชั้น สันนิฐานว่าเพื่อให้พระที่มาจากลังกาสามารถทำสังฆกรรมได้ จึงเพิ่มใบเสมาให้มีสำหรับสองนิกาย ในบางครั้งใบเสมาคู่ก็สามารถบ่งบอกถึงการเป็นวัดหลวงได้ โดยถือว่าวัดหลวงเป็นศูนย์รวมของทั้งพระบ้านและพระป่า จึงทำใบเสมาทั้งสองชนิดไว้คู่กัน ในสมัยอยุธยาบางวัดพบใบเสมากลุ่มหรือเสมาสามใบอีกด้วย ซึ่งโดยหลักแล้วใบเสมาเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเขตขันธสีมาที่จะตั้งรอบอุโบสถแปดทิศเพื่อให้สามารถประกอบสังฆกรรมได้

ที่กลางเมืองสุโขทัย มี “วัดมหาธาตุ” เป็นใจกลางของเมือง และมีที่อยู่ของพระมหากษัตริย์อยู่ฝั่งตรงข้าม วัดมหาธาตุนั้นเป็นวัดที่มักปรากฏชื่ออยู่ในเมืองหลวงที่สำคัญตัววัดมีบ่อน้ำโดยรอบและมีกำแพงแก้วเตี้ยๆแสดงปริมณฑลของวัดและมีตะพังด้านหน้าเป็นบ่อน้ำสำหรับกักเก็บน้ำให้ซึมลงไปในบ่อย่อยๆ

เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ รอบๆฐาน จะมีเจดีย์บริวารเป็น ทรงพระปรางค์สลับกับทรงศรีวิชัย เพื่อแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางของชนเผ่าต่างๆ วิหารด้านหน้าสันนิฐานว่าสร้างเมื่ออยุธยามาปกครองเพื่อเป็นการแสดงอำนาจที่มีต่อสุโขทัย โดยด้านหลังจะเป็นวิหารเดิมตั้งอยู่หน้าเจดีย์ประธาน รอบๆวิหารทางเดินรอบเป็นระเบียงคดสำหรับการเดินเวียนประทักษิณ (เดินวนรอบขวาตามทักษิณาวัตร) ด้านข้างขนาบด้วยพระยืนปางเปิดโลก ชื่อว่า “พระอัฏฐารศ” ทั้งสองฝั่ง

ในบริเวณวัด จะมีเจดีย์เล็กๆอยู่ทั่วไป สันนิฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเก็บอัฐิของพระมหากษัตริย์ ซึ่งวัดนี้สามารถใช้เส้นนอนในการออกแบบได้เป็นอย่างดีทั้งเส้นของอาคาร กำแพงแก้ว ทำให้อาคารดูรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดิน

หลังจากฝนตกลงมาอย่างหนักพวกเราก็เข้าไปหลบฝนอยู่ในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอาคารหมู่ทรงไทยที่ออกแบบโดยดึงความเป็นสุโขทัยออกมาได้มากทีเดียว ทั้งช่องเปิดตามตั้งที่เป็นเอกลักษณ์ ปั้นลมแบบขมวด การใช้อิฐ หลังคาที่ไม่มีการทิ้งชายคา กำแพงแก้วที่ทำจากเซรามิก

“วัดพระพายหลวง” เป็นที่ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าวันนี้ขึ้นลงรถบ่อยเหลือเกิน วัดนี้มีพระปรางค์สามองค์ที่ถูกสร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด ซึ่งเป็นประธานของวัด ที่นี่เป็นชุมชนอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยจะมาตั้งเป็นราชธานี ถูกออกแบบให้ดูเหมือนวิมานเป็นชั้นๆขึ้นไป โดยบนยอดสุดจะเป็นดอกบัว ในพระปรางค์นี้หน้าบรรณจะมีภาพปฏิมากรรมนูนสูงเป็นภาพเพระพุทธเจ้าทรงแสดงประถมเทศนาแก่ปัจจวัคคี ด้าข้างของปรางค์จะไม่มามารถเข้าได้เป็นแค่ประตูหลอกเท่านั้น

“วัดศรีชุม” ทำให้ผมเบื่อการหยุดรถ รู้สึกว่าวันนี้ขึ้นๆลงๆทั้งวันยังไงไม่รู้ แต่พอลงมาถึงก็หายเหนื่อยเพราะวัดศรีชุม มีสเปสที่อลังการแตกต่างจากวัดอื่นคือ มีวิหารที่ประดิษฐานพระอจนะพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตัก 11.30 เมตร โดยมีประตูบีบอัดสเปสให้เล็กก่อนเปิดให้ประจันหน้ากับองค์พระพุทธรูปด้านในมณฑป

หลังคาของมณฑปพังลงมาหมดแล้วเนื่องจากเป็นโครงสร้างไม้ที่ไม่ได้รับการบูรณะ ผนังทั้งสี่ด้านเป็นผนังก่ออิฐถือปูนหนาแข็งแรงด้านในมีบันไดแคบๆสามารถเดินไป บริเวณบันไดมีการตีฝ้าเพดานเป็นหินฉลักชาดกเรื่องพระเจ้าห้าร้อยชาติเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะไม่มีแสงจึงไม่ทราบเจตนาในการสร้าง ด้านหน้ามีต้นมะม่วงป่าขนาดใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ร่มเย็นกับบริเวณมณฑป ซึ่งต้นมะม่วงนี้สามารถบ่งบอกอายุของโบราณสถานได้

“วัดศรีสวาย” เป็นวัดสุดท้ายของอุทยานที่เราจะเข้าชม มีพระปรางค์สามองค์ใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป ลักษณะของพระปรางค์แบบขอมรวมทั้งมีร่องรอยของศิวลึงค์ จึงคาดว่าเป็นศาสนสถานของฮินดูมาก่อนก่อนที่จะกลายมาเป็นของพุทธศาสนาซึ่งสร้างวิหารขึ้นมาเบื้องหน้าพระปรางค์ มีลักษณะของศิลปะแบบลพบุรี

เป็นวัดที่สามารถสร้างด้วยศิลาแลงของสุโขทัยได้ดีมาก ด้านหน้าของวิหารหันหน้าไปทางทิศเหนือ เมื่อผ่านประตูศิลาแลงเข้าไป จะพบกับตัววิหารซึ่งสร้างด้วยอิฐ ลายปูนปั้นเป็นลายคล้ายเครื่องถ้วยของจีนในสมัยราชวงหยวน เมื่อผนังปูนหลุดออก ทำให้เห็นเทคเจอร์ของอิฐและศิลาแลงที่ผสมกัน

ออกจากโบราณสถานมายังบ้านพื้นถิ่นของไทย ซึ่งแต่ละหลังมีลักษณะยกใต้ถุนสูงการใช้วัสดุผสมผสาน หลากหลายรูปแบบ ทั้งสังกะสี ไม้ตีนอน ไม่ตีตามตั้ง ระแนง หรือแม้กระทั่งฉาบปูน บ้านในละแวกเดียวกันส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกันหมด

แต่ละหลังมีการจัดภูมิทัศน์แบบไทย คือการปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ สมุนไพร ไม้ผล และอื่นๆ ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใช้งานก็ปล่อยให้ขึ้นเขียวขจีไป



วันที่6
เมืองที่ห้ามโกหก


วันที่หก ออกมาจากสุโขทัยเข้าสู่ หมู่บ้านไผ่เขียว ตำบลไผ่ล้อม อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ บ้านที่นี่มีบ้านพื้นถิ่นที่สวยงามหลายหลัง โดยส่วนใหญ่มีหลักคล้ายๆกันในด้านการ ทำให้สเปสโฟลว์ถึงกัน นัหว่างเรือนหลัก ลานดิน และเรือนรอง

บริเวณลานดินก็มักจะปลูกต้นไม้ต่างๆทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ผักสวนครัว ว่าน สมุนไพรต่างๆ โดยจะมีไม้ยืนต้นไว้ให้ร่มเงา

การทำทางเข้าบ้าน เนื่องจากบ้านอยู่ชั้นบน จึงนำสายตาขึ้นไปด้วยบันไดแล้วดึงที่ว่างให้หักมุมก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน

“วัดดอนสัก” ตำบลบ้านฝาย อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัด ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกเรามานั่งกินข้าวกลางวัน และถวายเทียนพรรษากัน หมู่บ้านรอบๆมีนามีน้ำอุดมสมบูรณ์มาก

วิหารของวัด เป็นโครงสร้างแบบล้านนาไม่มีฝ้าปิดหลังคา โครงสร้างของหน้าจั่วใช้ไม้แกะสลักเป็นรูปเทพยาดาต่างๆมาปิดเป็นลูกฟัก


รวมทั้งบริเวณประตูก็เป็นไม้แกะสลักทั้งชิ้นเช่นกัน มีช่วงหนึ่งเคยถูกขโมยไปแต่สามารถตามกลับมาได้ ลายของประตูด้านหน้า (หนังไปทางทิศตะวันออก) จะเป็นลายเหมือนดักแด้ใบหม่อน พัวพันกันอย่างวิจิตรพิสดาร ส่วนประตูหลังเป็นลายก้านแย่งพุ่มข้าวบิณฑ์

เสาของอาคารจะเป็นเสาแปดเหลี่ยมที่ผิวของเสาเว้าเข้าด้านใน หัวเสาเป็นบัวแบบอยุธยา เช่นเดียวกับโครงสร้างทั่วไปเป็นแบบอยุธยาแต่การทำงานของโครงสร้างเป็นแบบล้านนา มีการให้แสงธรรมชาติจากการเจาช่องเปิด

สัดส่วนของอาคารสัมพันธ์กันหมด ไม่ขาด ไม่เกิน ทั้งจังหวะการเจาะช่อง การวางคันทวย ฝีมือการแกะสลักที่ประณีต ทุกอย่างส่งเสริมกันหมด อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบ ทั้งต้นไม้ที่ร่มรื่น แม่น้ำที่ไหลผ่าน ทุกอย่างให้บรรยากาศแห่งความสงบและสวยงาม



วันที่7
เศษเสี้ยวของอารยธรรม



หากไปเยี่ยมอาณาจักรพี่อย่างสุโขทัย แล้วจะไม่ไปเยี่ยมอาณาจักรศรีสัชนาลัยแล้ว อาณาจักรน้องแห่งนี้คงจะน้อยใจ เป้าหมายของวันที่เจ็ดก็คือ “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” และวัดแรกที่จะมีเยี่ยมเยือนก็คือ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง” เป็นวัดสำคัญที่ตั้งอยู่ที่เมืองเชลียงซึ่งอยู่นอกกำแพงของศรีสัชนาลัย

กำแพงและตัวพระปรางค์สร้างขึ้นด้วยศิลาแลง อิทธิพลในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบขอม แต่วิหารด้านหน้าพระปรางค์สันนิฐานว่ามีลักษณะเป็นแบบล้านนาทั่วไป ผนังมีการเจาะช่องแสงเป็นแนวตั้งแบบสุโขทัยหัวเสามีร่องรอยของการปั้นปูนเป็นรูปเทวดา วางผังเป็นแนวแกนสมมาตร ซุ้มประตูสง่างาม ตามแบบศิลปะสกุลนครวัด

เจดีย์ทรงพระปรางค์ที่ตั้งอยู่ด้านหลัง ชั้นบนมียอดของพระธาตุอยู่ สันนิฐานว่า ถูกอยุธยาสร้างครอบเจดีย์เก่าของยุคสมัยสุโขทัยเพื่อเป็นการแสดงอำนาจ

ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย และมีพระพุทธรูปปางลีลาที่มีลักษณะอิ่มเอิบ แขนอ่อนช้อยคล้ายงวงช้าง งดงามมาก

รอบพระปรางค์จะมีทางเดินสำหรับการเวียนประทักษิณโดยแบ่งลำดับชั้นศักดิ์ ประชาชนอยู่ล่างสุด ชั้นกลางเป็นกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ ชั้นบนเป็นพระสงฆ์

“วัดโคกสิงคาราม” จุดสำคัญของที่นี่คือการนำลักษณะของฝาเรือนไทยที่เป็นไม้ มาสร้างด้วยศิลาแลงและปูนปั้น จะเห็นถึงรูปลักษณ์ของฝาเรือนไม้ทั้ง ร่องตีนช้าง กรอบรัดเกล้า ลูกฟัก ลูกกรงหน้าต่าง หย่อง

ที่ “วัดกุฎีราย” มีลักษณะของหลังคาโค้ง ซึ่งเรียงศิลาแลงเหลื่อมกันไปเป็นรูปโค้งที่บริเวณซุ้มพระ ทำให้สามารถคาดเดาหลังคาในส่วนอื่นที่ทำจากไม้ซึ่งผุพังไปตามกาลเวลาแล้วได้ และทำให้สันนิฐานได้ว่าลักษณะหลังคาของสถาปัตยกรรมในยุคสุโขทัยเป็นเช่นเดียวกัน ในส่วนของซุ้มพระจะมีการเรียงศิลาแลงเป็น “พอยท์เททอาร์ค” ก่อเหลื่อมกันเป็น “คอเบล”

มายัง “ศูนย์ศึกษา - อนุรักษ์เตาสังคโลก” ที่นี่มีการออกแบบโดยประยุคของเก่ากับของใหม่เข้าด้วยกัน และให้เข้ากับสถานที่ตั้ง โดยใช้วัสดุ และรูปแบบทั้งการเปิดช่อง การเชื่อมต่อ ให้มีกลิ่นอายของศิลปะแบบสุโขทัย ศรีสัชนาลัย

บ้านของชาวบ้านในละแวกนั้นมีใช้สเปสที่โฟลว์ลึกและวนเข้าไปภายในทำให้รู้สึกถึงการดึงดูด มีการใช้เสารับเฉพาะพื้น และเสารับเฉพาะหลังคาแยกจากกัน ถึงแม้จะดูเหมือนภายในดึงดูดเข้าไปแต่ก็ยังคงความโปร่งโล่งไว้อย่างเรียบง่าย

“วัดเจดีย์เก้ายอด” เป็นวัดที่สร้างบนเนิน สามารถแก้ไขปัญหาโดยการทำเป็นเสตป และยกเฉลียงที่เป็นศิลาแลงขึ้นมาโดยการถมดิน ซึ่งถมแบบไม่ทำลายเนินดินแล้วก่อศิลาแลงขึ้นไปเป็นเฉลียงก่อนจะสร้างตัวอาคารขึ้นมา

มาถึงเขตของเมืองศรีสัชนาลัยที่มีกำแพงล้อมรอบ เมื่อเข้าไปแล้วก็รู้สึกเหมือนกับเดินทางข้ามภพไป สภาพของการเดินผ่านประตูเมืองแคบๆบีบอัดความรู้สึก เมื่อผ่านออกไป ทั้งต้นไม้ใหญ่ ธรรมชาติ ความขลังของโบราณสถาน สอดคล้องกันหมดคล้ายกับข้ามกาลเวลามาอะไรอย่างนั้นทีเดียว

เดินไปไม่นานก็พบกับ “วัดนางพญา” ที่วัดนี้คงเหลือลายปูนปั้นโบราณของสุโขทัย ส่วนใหญ่เป็นลายม้วนๆ เรียกว่าลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งจะพบในสมัย สุโขทัย อโยธยา อยุธยาตอนต้น ส่วนภายหลังเมื่ออยุธยาตอนปลายมีการคิดค้นลายกระหนกแบบเปลวไฟขึ้นมา

ตามลักษณะแล้วเชื่อว่ามี “เสานางเรียง” ตั้งอยู่ด้านข้างวิหารเนื่องจากมีลวดลายประดับสวยงามจึงต้องมีการยื่นกันสาดออกมาเพื่อกันฝน และถัดออกไปเป็น “เสาประทีป” ซึ่งเป็นเสาเตี้ยๆใช้สำหรับตั้งดวงประทีปเพื่อให้แสงสว่าง

“วัดเจดีย์เจ็ดแถว” เป็นวัดที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งเจดีย์ประธานที่เป็นทรงดอกบัวตูม เจดีย์รอบๆมีทั้งศิลปะสุโขทัยแท้ แบบผสมศรีวิชัย ลังกา พุกาม มากมายหลายลักษณะทำให้มีความสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง จนสามารถเห็นได้ทั่วไปในโปสการ์ดต่างๆของสุโขทัย

ด้านหลังของวัดเจดีย์เจ็ดแถวคือ “วัดช้างล้อม” มีลักษณะตามชื่อคือมีประติมากรรมรูปช้างขนาดใหญ่กว่าตัวจริงยืนล้อมรอบฐานเจดีย์เอาไว้

สุดท้ายถึงฟ้าจะเริ่มครึ้มเหมือนจะไล่ให้กลับโรงแรมไปได้แล้วแต่ถ้าไม่ขึ้นเขาพนมเพลิงคงรู้สึกเหมือนมาไม่ถึงศรีสัชนาลัย ด้านบนพบกับ “วัดสุวรรณคีรี” เมื่อมองจากยอดเขาแล้วจะสังเกตได้ว่า ยอดของพระเจดีย์ของทุกวัด จะเรียงตรงกันเป็นแนวแกนตั้งแต่ยอดเขาลงมาถึงพื้นดินเลย

หมดแรงกันอย่างจริงจังกันทุกคนแล้ว (ยกเว้นน้องน้ำมนต์ ลูกอาจารย์น้ำ) เดินขึ้นไปยัง “วัดเขาพนมเพลิง” ด้วยสภาพคล้ายศพเดินได้ จุดที่สำคัญของวัดนี้คือ เจดีย์ประธานทรงกลม และมณฑปก่อด้วยศิลาแลงฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสยกพื้นสูงหลังคาโค้งแหลมมีบันไดทางขึ้น ชาวบ้านเรียกว่า ศาลเจ้าแม่ละออง จากยอดเขาฝั่งนี้จะเห็นฝูงนกจำนวนมากอยู่ตามต้นไม้


วันที่8
สืบทอด



เมื่อแผ่นดินใหญ่มีปัญหา แผ่นดินไทยก็ยินดีต้อนรับชาวจีนที่อพยพมา ไม่ใช่แค่กรุงเทพเท่านั้น แต่รวมถึงริมแม่น้ำสายสำคัญอื่นๆที่ชาวจีนเดินทางมาค้าขายอีกด้วย และที่นี่ “อำเภอกงไกรลาศ” จังหวัดสุโขทัย ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ชาวจีนย้ายมาอยู่ รวมถึงที่นี่เป็นบ้านเกิดของอาจารย์ตี๋ สุรพล สุวรรณ อีกด้วย ความหมายของคำว่า กงไกรลาศ หมายถึง ธรรมจักรสีขาว

ที่ตำบลกงนี้ เป็นย่านการค้าที่เป็นที่พำนักอาศัยของคนจีนมายาวนาน ซึ่งมีลักษณะของที่พักอาศัยเป็นห้องแถวขนาดสองคูหา หลังคาทรงปั้นหยา มีการเปิดช่องเปิดเป็นระแนงบริเวณกรอบรัดเกล้า และประตูเป็นบานเฟี้ยม

ด้านหลังของบ้านบางบ้านจะเป็นสวน ส่วนบางบ้านก็ติดกับคลอง มีท่าลงไปที่เรือได้

หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไปก็ออกเดินทางมายัง “ท่าอากาศยานสุโขทัย” มีเนื้อที่ราวๆสองพันไร่ ครอบคลุมสามตำบลคือ ท่าทอง คลองกระจง ย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ซึ่งถูกออกแบบโดยผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมและศิลปกรรมพื้นถิ่นของไทย งานที่ออกมาแม้ไม่ใช่ศิลปะสุโขไทยแท้ก็จริง แต่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นสุโขทัยอยู่

วัสดุที่นำมาสร้างนั้นไม่ใช่ไม้แบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แต่มีการใช้เหล็กมาผสมเพื่อให้สร้างได้รวดเร็วและมีการดัดแปลงได้มากขึ้น ถึงแม้จะนะเหล็กมาใช้แต่ก็ทาสีให้ดูคล้ายกับไม้เช่นกัน นอกจากนั้นยังใช้วัสดุที่แสดงความเป็นสุโขทัยได้อย่าง กระเบื้องพื้น หลังคาดินเผา และก่ออิฐโดยไม่ฉาบปูน

มีความโปร่งโล่ง เย็นสบายไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ และการใช้สภาพแวดล้อมร่มรื่นแบบไทย ซึ่งได้มาจากการศึกษาอดีตอย่างลึกซึ้งและนำมาสืบทอดโดยอาศัยความรู้ใหม่ผสมผสานเข้าไปโดยไม่ทำลายของเดิม

พนักงานสนามบินพานั่งรถวนรอบๆให้ดูคร่าวๆ ก่อนจะพาไปยัง “สุโขทัย เฮอริเทจ รีสอร์ท” เช่นเดียวกันกับสนามบิน เนื่องจากเป็นเจ้าของและผู้ออกแบบเดียวกัน งานที่ออกมาถือได้ว่าเป็นงานพาณิชย์ที่คำนึงถึงคุณค่าของมรดกของไทยได้อย่างดีมาก การออกแบบผังของที่นี่เป็นแบบสมมาตร ตามหลักออกแบบของโบราณ และมีสระน้ำล้อมรอบ

งานออกแบบทั้งหมดเป็นงานโมเดิลน์ที่มีกลิ่นอายของสุโขไทย ทั้งวัสดุ ช่องเปิด โครงสร้าง รวมถึง สเปส ที่โปร่ง โล่ง ตามอัตลักษณ์แบบไทย

บริเวณใกล้ๆอาคารพักผู้โดยสาร มีส่วนของร้านอาหารอยู่ ที่นี่ถูกสร้างเป็นเรือนเครื่องผูกโดยใช้ไม้ไผ่ผสมเหล็ก หลังคาเป็นแฝก อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่


ออกจากตัวสนามบินและโรงแรมมาแล้วไปยังหมู่บ้าน สังเกตวัสดุที่เป็นการมิกซ์ยูส สัดส่วนที่สวยงามที่มาพร้อมประโยชน์ใช้สอย บ้านแทบทุกหลังจะพบยุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวสารซึ่งจะตีเคร่าไว้ด้านในของเสาและตีผนังด้านในอีกที คาดว่าเพราะจะทำให้กันฝนได้ดีกว่าและตีได้แนบสนิดกว่าด้วย

อีกไม่นานนักบ้านเรือนพื้นถิ่นอาจจะหมดไปเพราะผู้ที่อยู่อาศัยไม่รู้ถึงคุณค่าในฐานะที่เราเป็นว่าที่สถาปนิก เราพอจะยังช่วยเก็บรักษาคุณค่าเหล่านี้ไว้ได้แม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายหรือภาพความทรงจำก็ตาม ตราบใดที่สังคมแบบทุนนิยมยังเฟื่องฟู คุณค่าของคนวัดจากจำนวนเงิน คุณค่าของพื้นถิ่นในชนบทก็อาจจะหมดลงสักวัน


วันที่9
จะยังอยู่ตลอดไปถ้าเราช่วยกัน


วันสุดท้ายของการออกภาคสนาม ซึ่งเหมือนการไปเที่ยวมากกว่า แต่ก่อนที่จะถึงคณะในเวลาสามทุ่ม ระหว่างวันยังมีอะไรให้ดูอีกมากมาย อย่างเช่น “วัดราชบูรณะ” อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ตั้งอยู่ริมน้ำน่าน สร้างตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ไม่เป็นเหมือนตัวเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยเพราะ เมืองพิษณุโลกเป็นหัวเมืองที่ไม่ได้ถูกทิ้งร้างไป จึงมีการบูรณะอยู่ตลอด

อุโบสถของวัดมีขนาดเล็กเช่นเดียวกับวัดอื่นๆในภาคเหนือ เนื่องจากผ่านการบูรณะมานานจึงทำให้รูปแบบหน้าต่างเปลี่ยนแปลงไป จากช่องเปิดตามตั้ง กลายเป็นบานเปิด หลังคาของอุโบสถมีปีกนกทั้งสี่ด้าน เชิงแปที่มีลักษณะแบนๆชนกับหัวเสาดอกบัวทำให้บัวดูเด้งขึ้น หน้าจั่วฝากไว้กับโครงสร้างทำเป็นลูกฟักแบบจั่วภควัม

วิหารหันหน้าทิศตะวันออกตามคติของทางเหนือ มีการเซตผนังด้านหน้าเข้าไปโดยแยกเสาออกมารับหลังคาเพื่อการเน้นทางเข้าให้เด่นชัดส่วนผนังด้านอื่นจะเป็น วอร์แบริ่งรองรับหลังคา

“วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” เป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช วิหารหลวงจะตั้งอยู่หน้าพระปรางค์ โดยมีวิหารบริวารอีกสองหลังอยู่ขนาบพระปรางค์ รอบพระปรางค์จะมีระเบียงคดแยกอยู่ด้านใน และรอบนอกก็จะมีระเบียงคดวางตัวล้อมวิหารเป็นกำแพงล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง

สันนิฐานว่าเพื่อเป็นการแยกทางเดินเวียนประทักษิณแยกของฆราวาสและพระสงฆ์ รอบวิหารคดมีการตั้งพระพุทธรูปเรียงไปตามผนังของวิหารคด โดยแต่ละส่วนจะหันหน้าเข้าออกต่างกัน

เมื่อเข้าไปด้านในวิหารหลวงแล้วจะพบพระพุทธชินราชตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางโดยมีเสาเรียงรายกันเป็นเส้นนำสายตาเข้าสู่ตัวองค์พระ การลดหลั่นของระดับหลังคาวิหารเกิดจากการบังคับของสเปสภายใน

เมื่อนำระเบียงคดมาวางตัวล้อมรอบวิหาร จึงทำให้ระเบียงคดเป็นด้านหน้าของอาคาร จึงมีการเจาะช่องบริเวณฝ้าเพดานให้เชื่อมต่อถึงกันเพื่อไม่ให้ดูเหมือนอาคารถูกแยกออกจากกัน

นี่เป็นเรื่องราวในวันสุดท้ายของการเดินทาง แต่นี่จะไม่ใช่การเดินทางครั้งสุดท้าย เพราะชีวิตทั้งชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง ต้องผ่านอุปสรรคมากมายกว่าจะถึงจุดหมาย การเดินทางแต่ละครั้งเมื่อถึงจุดสิ้นสุดลงไม่ว่าจะถึงที่หมายหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ที่หมายก็คือระหว่างทาง เรื่องราว ประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าเรื่องร้ายหรือดี ต่างก็มีคุณค่าต่อเราทั้งนั้น สถาปัตยกรรมและศิลปะพื้นถิ่นจะอยู่ต่อไปหรือไม่ ผู้ตัดสินก็คือคนรุ่นหลัง และรุ่นถัดๆไป ถ้าเรามองไม่เห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ของตัวเอง ถ้าเราทำเป็นลืมอดีตของตัวเอง เอาแต่ก้าวตามคนอื่น เมื่อนั้นเราจะหมดความภาคภูมิในใจตัวเอง